เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 139 ถึงเวลาแตกหัก
บทที่ 139 ถึงเวลาแตกหัก
เวินเที๋ยนเที๋ยนหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดโทรออกไปแต่อีกฝ่ายไม่ตอบรับ
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ลุกขึ้นยืน
“พ่อบ้าน ฉันมีเรื่องต้องออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง”
“ถ้าคุณผู้ชายถามละครับ?”
“ก็บอกว่าฉันไปหา……” เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดพลางนึกขึ้นได้ว่าจี้จิ่งเชินกับหมินอันเกอไม่ลงรอยกัน หากเขารู้เขาก็จะโกรธ
จึงเปลี่ยนเป็นพูดออกไปว่า “บอกว่าฉันไปหาท่านจาง”
หลังจากนั้นเวินเที๋ยนเที๋ยนก็รีบออกจากประตูไป
โดยนั่งรถยนต์ตรงไปยังสถานที่ที่เขียนไว้ในบันทึกเมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนมาถึงก็เห็นว่าหมินอันเกอกำลังรอเธออยู่
เธอรีบเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “ พี่หมิน ดึกขนาดนี้แล้วมีอะไรหรือเปล่า?”
หมินอันเกอมองไปที่เธอทำให้เธองุนงงเล็กน้อย
“คุณเป็นคนเรียกผมมาไม่ใช่เหรอ?”
ณ ปราสาทเก่าแก่
จี้จิ่งเชินรับสายใครคนหนึ่ง
“จิ่งเชิน ตอนนี้คุณอยู่บ้านหรือเปล่า?”
จี้จิ่งเชินได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแล้วรีบวางสายโดยไม่พูดอะไรเลย
หลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
จึงได้ยินเสียงเจี่ยงเนี่ยนเหยามาจากปลายสาย
“จี้จิ่งเชิน ถ้าคุณวางสายอีกครั้งคุณจะเสียใจทีหลังแน่นอน!”
จี้จิ่งเชินถอนหายใจออกมา
“เธอจะทำอะไรกันแน่?”
“คุณอยู่บ้านหรือเปล่า?”เจี่ยงเนี่ยนเหยาถาม
จี้จิ่งเชินกำลังจะวางสาย เธอกลัวว่าเขาจะวางสายจึงรีบส่งเสียงออกไปทันทีว่า
“คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้คุณผู้หญิงจี้ของคุณอยู่ที่ไหน?”
จี้จิ่งเชินหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วคราว
เจี่ยงเนี่ยนเหยาเดาท่าทางของเขาออก น้ำเสียงเธอเบาลงแล้วพูดเสริมไปอีกว่า
“จี้จิ่งเชินคุณคิดว่าภรรยาคุณคนนี้เขารักคุณมากหรือเปล่า?”
“แต่ฉันเพิ่งเห็นเธออยู่กับหมินอันเกอดูเหมือนว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะหนีตามกันด้วยนะ”
“พูดพอหรือยัง?”
จี้จิ่งเชินพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณและภรรยาของผมมีความคับข้องใจอะไรต่อกันแล้วทำไมต่อหน้าเธอคุณถึงไม่ถามล่ะหรือเป็นเพราะเธอให้เงินคุณเหรอ?”
“คุณไม่เชื่อฉันงั้นเหรอ? ถ้าคุณเห็นรูปแล้วคุณจะเข้าใจทุกอย่างเอง ถ้าอยากรู้ละก็มาที่โรงแรมค่ายซ่าแล้วกัน”
หลังจากนั้นเจี่ยงเนี่ยนเหยาก็วางหูโทรศัพท์ทันที
เพียงไม่นานเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์มือถือของจี้จิ่งเชินก็ดังขึ้นและภาพถ่ายก็ถูกส่งเข้ามา
เวินเที๋ยนเที๋ยนและหมินอันเกอจับมือแล้วนั่งอยู่ด้วยกัน
จี้จิ่งเชินเห็นอย่างชัดเจนว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนใส่ชุดเดียวกันกับที่เธอใส่วันนี้
แม้แต่รอยจูบบนคอของเธอที่ทำไว้ก็เห็นได้ชัดเจน
เขาจ้องที่ภาพถ่ายนั้นแล้วโทรหาพ่อบ้านทันที
“คุณผู้หญิงไปไหน?”
พ่อบ้านพูดตอบไปว่า “คุณผู้หญิงบอกว่าเธอไปหาท่านจางครับ”
จี้จิ่งเชินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาท่านจางทันที
“ท่านจางภรรยาผมอยู่ที่นั่นหรือเปล่า ให้เขารับโทรศัพท์หน่อย”
ท่านจางพูดออกไปอย่างสงสัยว่า “ไม่หนิ เธอไม่ได้มาที่นี่”
ดวงตาของจี้จิ่งเชินมืดลงทันที
ทางโทรศัพท์ท่านจางยังคงพูดอยู่แต่เขากลับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นวางสายไปทันที
พ่อบ้านมองเขาด้วยความงุนงง
จี้จิ่งเชินพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “เธอออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อครู่มีคนส่งจดหมายมาครับ”
ทันทีที่พ่อบ้านพูดจบ จี้จิ่งเชินก็ลุกขึ้นยืนแล้วสวมสูท
“หมอบอกว่าคุณยังใส่สูทไม่ได้นะครับ”
จี้จิ่งเชินไม่ตอบแม้แต่เน็คไทก็ลืมผูกรีบออกไปข้างนอกทันที
คนขับรถได้รออยู่ข้างนอกก่อนแล้ว
จี้จิ่งเชินขึ้นรถแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ไปที่โรงแรมค่ายซ่า”
คนขับเหลือบมองกลับมาจึงเห็นว่าอารมณ์ของเขาไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
ตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาลเขาไม่ค่อยเห็นจี้จิ่งเชินเป็นเช่นนี้เท่าไหร่นัก
แม้ในความมืดใบหน้านั้นก็แสดงให้เห็นถึงความเย็นยะเยือก
มันทำให้คนรู้สึกถึงว่าต้องมีคนโชคร้ายได้เจออย่างแน่นอน
ณ โรงแรมค่ายซ่า
หมินอันเกอมองไปที่เวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างนึกสงสัย
“ผมไม่ได้เรียกคุณมาแล้วคุณก็ไม่ได้ส่งข้อความหาผมเหรอ?”
เขาหยิบซองจดหมายแบบเดียวกันกับที่เวินเที๋ยนเที๋ยนได้รับขึ้นมาบนโต๊ะ
เวินเที๋ยนเที๋ยนขมวดคิ้วเดาอะไรบางอย่างได้แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมอง
มีคนต้องการนัดเขาและหมินอันเกอออกมาโดยเจตนา
“ฉันกลับก่อนนะ”
เธอพูดอย่างใจจดใจจ่อและหันไปทางอื่น
เพียงหันกลับมาหมินอันเกอก็ดึงเธอเอาไว้
“รอก่อน ผมมีบางอย่างที่จะคุยกับคุณ”
“ไม่ใช่วันนี้”
เธออยากจะรีบกลับไปแทบแย่แต่หมินอันเกอกลับดื้อดึง
คุณไม่อยากรู้เรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหรอ?
การเคลื่อนไหวของเวินเที๋ยนเที๋ยนหยุดลงและหันกลับไปทันที
หมินอันเกอยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและเอารูปถ่ายออกมาสองสามภาพ
“หลังจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของคณบดีเฉินโดนเผาไหม้ไปหมดแบบนั้น ผมอยากจะสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใหม่ให้พวกเขา”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองถ่ายภาพเด็ก ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าล้วนแต่เป็นใบหน้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีทั้งหมด
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเธอยุ่งอยู่กับการดูแลจี้จิ่งเชินจึงไม่ว่างในการค้นหาหลักฐานและหยุดคิดถึงพวกเขาไป
เวินเที๋ยนเที๋ยนขมวดคิ้วพลางรู้สึกผิดกับตัวเอง
“ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ เด็กทุกคนถูกพาไปไว้ในที่พักพิงชั่วคราวแม้ว่าคณบดีเฉินจะเสียชีวิตไปแต่เด็กเหล่านี้รอดชีวิตมาได้และพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
เวินเที๋ยนเที๋ยนผงกหัวอย่างเข้าใจ “คณบดีช่วยชีวิตพวกเขาทุกคนไว้”
“เด็ก ๆ เหล่านี้ต้องได้รับการดูแล ผมไปเยี่ยมพวกเขามาเมื่อสองวันก่อนและพวกเขาก็ถามผมด้วยว่าคุณอยู่ที่ไหน”
เขาเอื้อมมือออกไปและจับเวินเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้ “หาเวลาไปหาพวกเขากันนะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเงยหน้าขึ้นมอง เธอขมวดคิ้วและลังเลสักพักจึงตอบตกลงในที่สุด
“ดีเลย”
หมินอันเกอยิ้มเล็กน้อย
“พี่หมิน ไม่อยากให้ฉันไปแล้วใช่ไหม?”
“คุณไม่ต้องกังวลผมรู้ว่าคุณไม่อยากจากไปแต่ผมอยากรู้ว่าที่คุณยังไม่ไปไหนก็เพื่อต้องการแก้แค้นหรือเป็นเพราะจี้จิ่งเชินเหรอ?”
“ฉัน……”
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
หมินอันเกอยิ้มโดยคาดเดาคำตอบไว้
“ผมรู้”
จี้จิ่งเชินนั่งตรงข้ามกับเจี่ยงเนี่ยนเหยาสีหน้าเศร้าหมองในที
“พวกเขาอยู่ที่ไหน?”
เจี่ยงเนี่ยนเหยายิ้มและยกมือขึ้นเพื่อเรียกบริกรให้ส่งไวน์ให้จี้จิ่งเชินแก้วหนึ่ง
“คุณจะรีบร้อนไปทำไม? คุณไว้ใจเธอมากไม่ใช่เหรอ?”
ใบหน้าของจี้จิ่งเชินมืดครึ้มสนิทเหมือนก้นหม้อและเสียงของเขาก็ทุ่มต่ำลงกว่าเดิม
“บอกผมมาว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน”
เจี่ยงเนี่ยนเหยาชี้ไปที่ไวน์บนโต๊ะ
“ดื่มไวน์แก้วนั้นหมดเมื่อไหร่ฉันจะบอก”
จี้จิ่งเชินมองลงโดยไม่ขยับแต่อย่างใด
เขาอยู่ในแวดวงธุรกิจมานานหลายปี ความโกรธก็ไม่สามารถทำให้ความระแวงคนอื่นของเขาลดต่ำลงได้
“เล่นอะไรอยู่เหรอ?”
จี้จิ่งเชินพูดจบจึงลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังกลับ
ทันใดนั้นเจี่ยงเนี่ยนเหยาก็จับเขาเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิ คุณไม่อยากรู้เหรอว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนกัน”
เธอยกมือขึ้นและชี้ไปในทิศทางของเวินเที๋ยนเที๋ยนและหมินอันเกอ
“ดูสิ”
จี้จิ่งเชินหันศีรษะตามทิศทางที่นิ้วที่เธอชี้
ไม่ไกลจากเขาเวินเที๋ยนเที๋ยนและหมินอันเกอนั่งอยู่ด้วยกัน
เหมือนดั่งในรูป