เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 123 แจกันดอกไม้แตก
บทที่ 123 แจกันดอกไม้แตก
“ครั้งหน้าคุณลองทำอีกสิ”จี้จิ่งเชินพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ
เวินเที๋ยนเที๋ยนกลัวมากจนส่ายหัวระรัว
“ไม่แล้ว ไม่แล้ว”
จี้จิ่งเชินพาเธอไปที่รถแล้วพูดว่า “ครั้งต่อไปที่คุณมามหาวิทยาลัย ผมจะให้บอดี้การ์ดมาด้วยสองคน”
คนๆนั้นแม้ว่าจะเป็นญาติห่าง ๆ ของตระกูลเจี่ยงแต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
รู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย
เนื่องจากใช้ความสัมพันธ์ระหว่างญาติห่าง ๆ ที่มีของตระกูลเจี่ยงนั้นทำให้การเข้ามหาวิทยาลัยลืบซานไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
หลังจากมาถึงชั้นเรียนที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเคยอยู่มาก่อน เธอทำความรู้จักกับเพื่อนสองสามคนอย่างรวดเร็ว
“เธอแน่ใจเหรอ?”เจี่ยงเนี่ยนเหยาถามอย่างสงสัย
คนที่นั่งอยู่ด้านหลังเจี่ยงเนี่ยนเหยาโน้มตัวไปข้างหน้าและพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ไม่ผิดแน่ ฉันได้ยินมาว่าเอกวิชานั้นมีเธออยู่แค่คนเดียว ไม่กี่วันมานี้หลบอยู่แต่ในห้องนั้นเพื่อซ่อมแจกันดอกไม้ที่แตกน่ะ”
“ฉันได้ยินมาว่าแจกันใบนั้นเป็นของในสมัยราชวงศ์หมิงและมีค่ามากเลยทีเดียว เดิมทีเป็นของตระกูลเฉินส่งมาให้ท่านเปิงช่วยซ่อมแซมน่ะ”
“ ท่านเปิงใจกว้างมากจริงๆถึงได้ให้เธอจัดการของที่มีมูลค่ามากขนาดนั้นได้”
เจี่ยงเนี่ยนเหยาขมวดคิ้วพลางนึกถึงสิ่งที่เธอเห็นจากด้านนอกห้องเรียนในวันนั้น
มีแจกันแตกอยู่ข้างในนั้นจริงๆ
เธอกลอกตาไปมาแล้วถามว่า “แล้วเธอซ่อมเป็นยังไง?”
“ได้ยินว่าวันนี้ก็น่าจะซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ”
เจี่ยงเนี่ยนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยืนขึ้น
หลายคนถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “เธอจะทำอะไรเหรอ?”
เจี่ยงเนี่ยนเหยายิ้มแล้วพูดว่า “ฉันจะไปดูแจกันใบนั้น พวกเธอจะไปด้วยกันไหมล่ะ?”
คนไม่กี่คนมองหน้ากันไปมา จุดจบของคนที่เป็นคู่อริกับเวินเที๋ยนเที๋ยนก่อนหน้านั้นก็น่าสังเวชทุกราย พวกเขาไม่กล้าลองหรอก
เจี่ยงเนี่ยนเหยาเห็นพวกเขาสั่นเทาเลยจงใจพูดขึ้นมาว่า “ฉันรู้ว่าพวกเธอไม่กล้าหรอก กลัวละสิ เดี๋ยวฉันไปคนเดียวก็ได้”
หลายคนได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนทีละคน
“ดี งั้นไปดูกันเลย”
“ดูแล้วก็กลับมา”
“ใช่”
เจี่ยงเนี่ยนเหยามองดูพวกซื่อๆตรงหน้าเธอแล้วพยักหน้า
“ต้องเป็นงั้นอยู่แล้ว เธอเป็นน้องสาวของฉันนะ ฉันแค่อยากจะไปดูว่าเธอลำบากแค่ไหนจะได้ช่วยแก้ไขก็เท่านั้น”
หลังจากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เดินตามกันออกไปข้างนอกและไม่นานก็มาถึงห้องเรียนเก่า
เมื่อเจอห้องเรียนของเวินเที๋ยนเที๋ยนแล้ว เจี่ยงเนี่ยนเหยาก็ยืนมองอยู่ที่หน้าต่างแต่ไม่มีใครอยู่ข้างในนั้น
เธอหันกลับและเดินไปดูว่าประตูห้องเรียนถูกล็อกเอาไว้อยู่แล้วผลักคนที่อยู่ข้างเธอ
“เปิดประตูเป็นไหม?”
อีกฝ่ายส่ายหัวไปมาจนตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของเจี่ยงเนี่ยนเหยา
“โง่จริงๆ”
เจี่ยงเนี่ยนเหยาพูดสบถออกมา เห็นว่าตัวล็อกเหล็กที่ประตูมันเก่าแล้วเลยหาหินรอบๆนั่นมาทุบมัน
ก่อนที่จะรอให้พวกคนที่ยืนดูอยู่นี้แสดงความเห็นก็ทุบหินลงไปที่ประตูเพื่อเปิดทันที
หลายคนเห็นการกระทำของเธอก็พยายามมองไปรอบ ๆ เพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า
“เธอกำลังทำจะอะไรน่ะ ไหนเธอบอกว่าจะมาดูเฉยๆไง”
เจี่ยงเนี่ยนเหยาโยนก้อนหินในมือลงบนพื้นแล้วสะบัดมือปัดป่ายไปมา
“ใช่ไง แค่เข้าไปดูแล้วเธอจะมาไหม”
เธอก้าวเท้าขึ้นมาแล้วเดินเข้าหาพวกเขาแล้วพูดว่า “นั่นเป็นแจกันจากราชวงศ์หมิงเลยนะ พวกเธอก็ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วเธอไม่อยากรู้เหรอว่ามันซ่อมยังไง?”
หลังจากพูดจบเจี่ยงเนี่ยนเหยาก็เดินเข้าไปข้างใน
บางคนยืนอยู่ข้างนอกลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป
กล่องใบหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะอย่างประณีต
เจี่ยงเนี่ยนเหยาเดินไปและเปิดมันโดยไม่พูดอะไรเลย
โถลายครามสีฟ้าและสีขาวที่สวยงามปรากฏต่อหน้าต่อตา
“เธอซ่อมเสร็จแล้ว” คนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดออกมาอย่างประหลาดใจ
เมื่อครั้งแรกที่เห็นแจกันใบนี้ยังคงเป็นเศษเล็กเศษน้อยอยู่เลยและเธอไม่คาดคิดว่าจะได้รับการซ่อมแซมโดยไม่มีรอยแตกให้เห็นเลยถึงขนาดนี้
“น่าทึ่งจริงๆ”
เจี่ยงเนี่ยนเหยาพูดกับคนด้านข้างว่า “เป็นไปได้ไหมว่าถ้าไปจับแล้วมันจะแตกอีกครั้งหนึ่ง?”
“คิดว่าไม่น่า?”
เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบแจกันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
เธอจับแจกันในมืออย่างแน่นหนา
ทุกคนมามุงกันเพื่อดูและนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นของวิจิตรที่สามารถกู้คืนเศษซากได้แบบนี้
เมื่อเห็นว่าพวกเขาต่างแย่งกันดูแจกันใบนั้นแล้วเจี่ยงเนี่ยนเหยาจึงถอยกลับไปอย่างเงียบๆแล้วออกแรงผลักคนที่ถือแจกันใบนั้นอยู่ในมือ
คนนั้นเมื่อโดนผลักแล้วร่างจึงเซถลาจนทำให้แจกันในมือตกลงมาที่พื้น
เสียงกระทบจนแตกดังขึ้น
แจกันที่สวยสมบูรณ์แล้วนั้นแตกเป็นชิ้น ๆ อีกครั้ง
ตกลงที่พื้น
ทุกคนเงียบลงทันทีที่เสียงแตกกระทบดังขึ้น
ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างมองเศษแจกันที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
“ทำยังไงกันดี!”
คนที่ถือแจกันคนสุดท้ายเอ่ยออกมาคล้ายใกล้จะร้องไห้เต็มที
“นี่คือแจกันของราชวงศ์หมิงเลยนะ”
“มันราคาเท่าไหร่?”
ทุกคนมองกันไปมองกันมาแต่ไม่มีใครพูดสิ่งใด
แม้ว่าครอบครัวของพวกเขาจะร่ำรวย สามารถหาเงินมาชดใช้ได้อยู่แล้วแต่กลัวจะต้องโดนดุด่าจากคนที่บ้านเสียมากกว่า
ไม่เพียงแต่จะโดนดุด่าว่ากล่าวแต่อาจจะต้องโดนตระกูลเฉินที่เป็นเจ้าของแจกันขุ่นเคืองเข้าให้ด้วย
เจี่ยงเนี่ยนเหยารู้ความคิดของพวกเธออย่างรวดเร็ว
เธอก้าวไปข้างหน้าแล้วก้มลงดูที่พื้น
“ทำไมเธอถึงสะเพร่าแบบนั้นล่ะ?”
คนที่ถือแจกันคนนั้นก็เริ่มร้องไห้ออกมา
“ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่รู้สึกเหมือนว่าเมื่อครู่จะมีคนผลักฉัน”
“ตอนนี้เราควรทำยังไงดี วิธีที่ดีที่สุดคือการชดใช้เงินแต่ตระกูลเฉินต้องไม่ยอมแน่ ฉันได้ยินมาว่าเขาใช้เวลาอยู่นานเพื่อที่จะได้แจกันใบนี้มา”
คนนั้นได้ยินเข้าก็วิตกกังวลมากขึ้นไปอีก
“งั้น..งั้นทำไงดีล่ะ?”
เจี่ยงเนี่ยนเหยาแสร้งทำเป็นคิดสักพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันมีวิธี ใครที่ซ่อมมันมาตั้งแต่แรกก็แค่ปล่อยให้เธอซ่อมมันอีกครั้ง ถึงยังไงเธอก็ซ่อมมันได้อยู่แล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก”
“แต่เธอจะช่วยฉันเหรอ….”
“โง่! ที่ฉันพูดเนี่ยหมายถึงว่าถ้าเราไม่พูดใครจะรู้ล่ะว่าเธอทำ? ฉันช่วยเธอได้มากสุดเท่านี้แหละที่เหลือก็คิดเอาเองแล้วกัน”
คนๆนั้นมองไปรอบๆแล้วจึงหยิบเศษแจกันที่กระจัดกระจายบนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วนำมันกลับมาใส่ไว้ในกล่อง
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็พากันออกจากห้องเรียนไปอย่างเงียบๆ ล็อกประตูอีกครั้งและเตรียมจะเดินออกไป
เขาจับมือเจี่ยงเนี่ยนเหยาเอาไว้อย่างกังวลใจอยู่เล็กน้อย
“เธอ…เธอจะไม่บอกเขาจริงๆใช่ไหม?”
เจี่ยงเนี่ยนเหยาส่ายหัวยืนยัน
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่พูดแน่นอน”
อีกฝ่ายก็โล่งใจทันที
“ขอบคุณนะ”
ประตูถูกล็อกอีกครั้งพร้อมกับทุกคนรีบหนีไปจากที่นี่อย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกผิด
เจี่ยงเนี่ยนเหยาเดินตามพวกเขาไปสักพักทันใดนั้นก็คิดข้อแก้ตัวขึ้นมาได้จึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องเรียนนั้น
ทันทีที่เดินมาถึงก็พบเข้ากับเวินเที๋ยนเที๋ยนและท่านเปิงที่กำลังเดินเข้ามาจากข้างนอกพร้อมกันพอดี
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงแอบซ่อนตัวให้มิดชิดเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์
เวินเที๋ยนเที๋ยนเพิ่งซ่อมแจกันดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะเร่งเร้าให้ท่านเปิงรีบมาดู
เมื่อเห็นว่าเธอมีความมั่นใจมากท่านเปิงจึงเรียกหัวหน้าตระกูลอู๋ที่มารับแจกันขึ้นมาดู
“ยังไม่ถึงสองสัปดาห์เลย เธอซ่อมเสร็จแล้วเหรอ?”
ท่านเปิงมองเธอด้วยความไม่เชื่อ
ตามการประเมินของเขามันเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อมแจกันให้แล้วเสร็จได้ในเวลาสั้นขนาดนี้
“คงไม่ได้ไปซื้อใบใหม่มาแทนใบนั้นใช่ไหม? ”