ตอนที่ 22 ความงดงาม
ทันทีที่ผมรู้สึกถึงจิตสังหารรุนแรงที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ผมก็รีบหันกลับไปมองโดยไม่ทันคิด…แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่มีวี่แววของจิตสังหารเลยสักนิด มีเพียงแค่เชียน่าที่ยิ้มอ่อนโยนให้ผมอยู่ตรงนั้นเท่านั้นเอง
“คุณท่าน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”
“มะ…ไม่หรอก ไม่มีอะไรเลย”
…คงเป็นแค่ความรู้สึกไปเองมั้ง เพราะเชียน่าก็ไม่แสดงท่าทีผิดปกติอะไรเลย แบบนี้คงเป็นแค่ผมคิดไปเองแน่ ๆ
ผมพยายามตัดความคิดนั้นออกไป ก่อนจะหันกลับมาพูดกับท่านฟลอเรนซ์อีกครั้ง
“เอ่อ…เมื่อครู่นี้ท่านฟลอเรนซ์ถามว่า ถ้าท่านขอหมั้นกับผม ผมจะตอบว่ายังไง ใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ ถูกต้องแล้ว”
──ทันทีที่ท่านฟลอเรนซ์ตอบกลับด้วยสีหน้าอ่อนโยน ผมก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารรุนแรงพุ่งมาจากด้านหลังอีกครั้งจนต้องรีบหันไปมอง ทว่า…สิ่งที่เห็นก็ยังคงเป็นเชียน่าที่ยิ้มอ่อนโยนให้ผมเหมือนเดิม
“คุณท่าน? มีอะไรที่ทำให้กังวลอยู่หรือเปล่าคะ?”
“มะ…ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษด้วยนะ ที่หันไปดูตั้งสองรอบ”
…ถึงจะบอกตัวเองว่าเป็นแค่คิดไปเอง แต่จิตสังหารที่สัมผัสได้นั้นรุนแรงเกินกว่าจะเมินเฉยได้จริง ๆ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะใส่ใจกับเรื่องนั้น ผมพยายามละทิ้งความรู้สึกนั้นไว้ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับท่านฟลอเรนซ์อีกครั้ง
“เรายังรู้จักกันไม่นานนัก ผมยังไม่คิดว่าเราเข้าใจกันดีพอ…ถึงจะตอบรับคำขอนั้นในตอนนี้ก็คงต้องขอเลื่อน หรือไม่ก็ปฏิเสธไปก่อนครับ”
“ยังไม่เข้าใจกันสินะ…สำหรับท่านลุกซ์แล้ว อะไรคือเกณฑ์ที่ใช้บอกว่า ‘เข้าใจกัน’ หรือคะ?”
“ก็อย่างเช่น นิสัย ความคิด สิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ ความฝันหรือสิ่งที่อยากทำ…ถ้ารู้จักกันในหลาย ๆ แง่มุม แล้วรู้สึกว่าชอบอีกฝ่ายจริง ๆ ผมถึงจะคิดเรื่องหมั้นหมายครับ”
“เป็นความคิดที่งดงามมากเลยค่ะ”
“ไม่หรอกครับ…ว่าแต่ ท่านฟลอเรนซ์คิดยังไงกับเรื่องนี้บ้างครับ?”
“คิดยังไง…อย่างนั้นเหรอคะ…”
ท่านฟลอเรนซ์นิ่งคิดไปเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ประจำอยู่บนใบหน้าก็จางลง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยราวกับกำลังมองไปยังจุดไกล ๆ
“สำหรับข้า…วันหนึ่งที่เราจะเข้าใจกันอย่างแท้จริงนั้น…คงไม่มีทางมาถึงหรอกค่ะ”
…คำพูดนั้นฟังดูหนักแน่นและเต็มไปด้วยความเศร้าเกินกว่าจะมาจากปากของคนที่มักจะยิ้มละไมอย่างเธอ แต่ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
“ขอทราบเหตุผลได้ไหมครับ?”
“ไม่ว่าจะใช้เวลาร่วมกันนานแค่ไหน ใช้ชีวิตใต้ชายคาเดียวกันนานเพียงใด สุดท้ายแล้วเราก็ไม่อาจเข้าใจอีกฝ่ายได้อย่างแท้จริง…เพราะไม่มีใครเข้าใจตัวเองได้ดีเท่าตัวเองหรอกค่ะ”
ขณะพูด ท่านฟลอเรนซ์เหลือบตามองไปด้านหลังของผมแวบหนึ่ง…แต่แล้วก็หันกลับมาสบตาผมอีกครั้ง
“เพราะเหตุนี้ ข้าจึงไม่ให้ความสำคัญกับการเข้าใจกันมากนัก…เวลาที่ข้าตัดสินคน ข้าจะดูว่าเขากำลังโกหกหรือเสแสร้งหรือไม่ต่างหาก”
“เสแสร้ง…”
“แน่นอนว่า บางครั้งการโกหกเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันก็อาจจำเป็น…แต่สำหรับคนที่เสแสร้งจนเป็นนิสัยนั้น ข้าไม่ค่อยชอบใจนัก…ในข้อนี้ ท่านลุกซ์เป็นหนึ่งในคนที่ตรงไปตรงมาและใสซื่อที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาเลยค่ะ…หัวใจของท่านช่างงดงาม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าสนใจท่าน…พูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้น ข้าชอบสิ่งที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นอาคาร ดอกไม้ หรือแม้แต่คนก็ตาม”
เมื่อพูดจบท่านฟลอเรนซ์ก็ยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่น…แต่ทันใดนั้นเธอก็เหลือบมองไปทางด้านหลังของผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อ
“ดังนั้น การที่มีใครบางคนซึ่งเสแสร้งอยู่ใกล้ ๆ กับคนที่งดงามเช่นท่าน ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรค่ะ”
จากนั้นเธอก็หันกลับมาสบตาผม พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเดิม
…แค่บทสนทนานี้ ผมก็รู้สึกว่าเข้าใจท่านฟลอเรนซ์มากขึ้นแล้ว──แต่ว่า
“สำหรับผม ไม่ว่าจะงดงามหรือไม่งดงาม ผมคิดว่า การโกหกหรือเสแสร้ง ถ้ามันไม่ทำร้ายใครก็คงไม่เป็นไรครับ”
“…แม้แต่ถ้าการกระทำนั้นเกิดจากความโลภส่วนตัวก็ตามหรือคะ?”
“ครับ…เพราะการพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการนั้น สำหรับผมแล้วก็ถือว่างดงามเช่นกันครับ”
เมื่อผมพูดจบ ท่านฟลอเรนซ์ก็ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่แก้มจะขึ้นสีเรื่อ พร้อมกับยิ้มละไม
“สามารถเอ่ยชมสิ่งที่ตนคิดว่างดงามได้ โดยไม่สนใจความเห็นของคนอื่น…ข้ามองว่าท่านลุกซ์ช่างน่าชื่นชมจริง ๆ ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
หลังจากนั้น พวกเราก็ดื่มชาและทานขนมพร้อมพูดคุยเรื่องทั่วไปอย่างออกรส จนกระทั่งท่านฟลอเรนซ์เหลือบมองนาฬิกาแล้วพูดขึ้นว่า
“วันนี้คงพอแค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ”
“จริงด้วยครับ”
พวกเราทั้งสองลุกขึ้นยืน แล้วหันหน้าเข้าหากัน
ท่านฟลอเรนซ์ยิ้มให้ผมพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เป็นเวลาที่สนุกและมีคุณค่ามากจริง ๆ ค่ะ”
“ผมก็สนุกมากเหมือนกันครับ”
จากนั้นผม เชียน่า และท่านฟลอเรนซ์ก็พากันเดินไปที่หน้าประตูทางเข้าซึ่งมีรถม้ารออยู่ ผมหันไปโค้งศีรษะให้เธออีกครั้งก่อนจะพูดว่า
“งั้นเจอกันใหม่ที่โรงเรียนนะครับ ท่านฟลอเรนซ์”
ทันทีที่ผมหันไปจะก้าวขึ้นรถม้า ท่านฟลอเรนซ์ก็พูดขึ้นมาอย่างร่าเริงด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ลุกซ์…คราวหน้า หากมีโอกาส ข้าขอใช้เวลาร่วมกับท่านแบบวันนี้อีกได้ไหมคะ?”
──ผมเพิ่งจะรู้ตัวในตอนนั้นว่า เธอเรียกผมแค่ชื่อ ไม่ใช่ชื่อเต็มเหมือนก่อน…นั่นทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ความรู้สึกดีใจที่เธอพูดแบบนั้นก็กลบความสงสัยทั้งหมดไปจนหมด
“ได้ครับ! ผมก็ตั้งตารอวันนั้นเลย!”
พอผมพูดแบบนั้น ท่านฟลอเรนซ์ก็ยิ้มอย่างมีความสุข มองพวกเราขึ้นรถม้า และยังโบกมือลาเล็ก ๆ จนกว่ารถม้าจะลับสายตา
วันนี้ผมรู้สึกว่าได้สนิทกับท่านฟลอเรนซ์มากขึ้นจริง ๆ…แค่คิดถึงครั้งหน้าที่จะได้ใช้เวลาด้วยกันก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว
ขณะนั่งในรถม้ากลับบ้านอย่างอารมณ์ดี เชียน่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กลับเงียบไปอย่างผิดปกติ…เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดทาง.
MANGA DISCUSSION