เทพศึกมังกรหวนคืน - ตอนที่ 298 งานเต้นรำหน้ากาก
“อาชายรอง”
จูหลินชิงมองคนที่อยู่ตรงหน้า ถอยหลังก้าวหนึ่ง ขมวดคิ้วด้วยความหวาดกลัว
“อ้าว ที่แท้หลานสาวตัวน้อยก็กลับมาแล้ว แล้วยัยแก่หนังเหนียวนั่นล่ะ? กลับมาด้วยหรือเปล่า รีบให้เขาลุกขึ้นมาเซ็นสัญญาฉบับนั้น บ้านหลังนี้มีคนเสนอซื้อในราคาสูง ถ้าขายได้ฉันก็จะได้แต่งงานแล้ว”
ชายหัวล้านโบกสัญญาที่อยู่ในมือ
“อาชายรอง คุณย่าบอกแล้วว่า นี่คือบ้านที่เป็นมรดกตกทอด ขายไม่ได้” จูหลินชิงกล่าว
“ฮ่าๆ บ้านมรดกตกทอดแล้วไง เปลี่ยนเป็นเงินได้หรือเปล่า ถ้าเปลี่ยนไม่ได้สู้ขายตอนนี้เลยดีกว่า แล้วฉันไม่ใช่ลูกชายของเธอเหรอ ฉันหาเงินมาแต่งงานไม่ได้ก็เพราะเธอไม่เซ็นสัญญาฉบับนี้”
ชายหัวล้านรู้สึกกลัดกลุ้ม
เขาอายุสามสิบกว่าแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน จำเป็นต้องขายบ้านหลังนี้เพื่อหาเงินแต่งงาน
“อาชายรอง คุณไปหางานทำสิ ไม่นานก็ได้เงินมาแต่งงานแล้ว”
จูหลินชิงพูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
อาชายรองอย่างเขาเป็นนักเลงตั้งแต่เด็ก ไม่ชอบทำงาน แต่ชอบเล่นไพ่และเอ้อระเหยไปวันๆ อายุสามสิบกว่าแต่ก็ยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง อาศัยเกาะคุณย่ากิน
แล้วยังรังแกคุณย่าของเธอด้วย
ตอนนี้ยังคิดจะขายบ้านอีก
เธอโกรธจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คืออาชายรองของเธอ เธอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
แต่อาชายรองคนนี้แค่ได้ยินก็โกรธจัด “หางาน? หางานอะไร? ฉันจำเป็นต้องหางานทำเหรอ? อีกอย่าง เด็กรุ่นหลังอย่างเธอมีสิทธิ์มาว่าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ให้พ่อของเธอมาแทนก็ไม่ต่างกัน ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ ฉันต้องการลายเซ็นของยัยแก่หนังเหนียวนั่น”
เขาผลักจูหลินชิงออกไปและเดินเข้าไปในห้อง
แต่ทว่า
โครม
มีคนถีบเขากระเด็นออกไป
จากนั้นฉินเฟิงก็ค่อยๆ เดินออกมาจากห้อง เอามือไพล่หลัง มองด้วยหางตาอย่างเหยียดหยาม
เมื่อครู่เป็นฝีมือของเขาเอง
“หลินชิง ทำไมมีผู้ชายอยู่ในห้องของเธอ”
อาชายรองมีชื่อว่าจูหงเลี่ยง กำลังนอนอยู่บนพื้น เอามือกุมท้อง ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด
ลูกถีบเมื่อครู่หนักจริงๆ
“นี่…นี่เพื่อนของฉัน…” จูหลินชิงอธิบายด้วยความตื่นตระหนก
“เพื่อนเหรอ? ฉันว่าเป็นชายชู้มากกว่า ฮ่าฮ่า หลินชิง โอเค ตอนนี้โตแล้ว ปีกกล้าขาแข็งมากแล้วใช่ไหม ถึงกล้าสมรู้ร่วมคิดกับชายชู้มาฮุบบ้านที่เป็นมรดกตกทอดของคุณย่า ฉันว่าแล้วว่าทำไมเธอถึงคอยขัดขวางฉันอยู่ตลอดเวลา ที่แท้ก็ต้องการบ้านหลังนี้ไว้เอง”
จูหงเลี่ยงเอามือกุมท้องและพูดเยาะเย้ย
“ไม่ใช่นะ”
จูหลินชิงรีบส่ายหน้า “ฉันไม่ได้สนใจบ้านของคุณย่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็โอนให้ฉัน”
ดวงตาของจูหงเลี่ยงแดงระเรื่อ “จูหลินชิง ถ้าเธอไม่ได้จะสมรู้ร่วมคิดกับชายชู้ฮุบบ้านของยัยแก่หนังเหนียวนั่น งั้นก็หลีกทางให้ฉัน ฉันจะบอกเธอให้ เธอไม่ใช่ลูกชายคนโตของยัยแก่หนังเหนียวนั่น เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะรับมรดกบ้านหลังนี้”
เขาพูดด้วยความโมโหเล็กน้อย
เขาก้าวขึ้นหน้าอีกก้าวหนึ่ง เข้ามาใกล้จูหลินชิง
จากนั้น
เขากระเด็นออกไปด้วยลูกถีบอีกครั้ง
กระแทกเข้ากับกำแพง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากด้วยความเจ็บปวด
“ชายชู้เหรอ?”
ฉินเฟิงเดินออกมาพร้อมกับแววตาเย็นชา
นึกว่าเขาจะไม่ฉุนเฉียวบ้างเหรอ?
บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าเรียกเขาว่าชายชู้
“แค่กๆ”
จูหงเลี่ยงรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกของตนอยู่ตลอดเวลา ไม่ง่ายเลยกว่าจะดีขึ้น พอเห็นฉินเฟิงก็รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นในทันที ในขณะเดียวกันก็ถอยออกไปสองก้าว พลางจ้องมองจูหลินชิงและพูดอย่างเกรี้ยวกราด “จูหลินชิง ฉันจะไม่มีวันปล่อยเธอไป เธอกล้าสมรู้ร่วมคิดกับชายชู้มาฮุบบ้านมรดกที่เป็นของฉัน ฝากไว้ก่อน”
พูดจบก็รีบวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไป
ไม่กล้าอยู่ต่อไปแล้ว
เขากลัวว่าถ้าโดนลูกถีบอีกครั้งหนึ่งจะทนไม่ไหวแล้ว
“ฉัน…”
จูหลินชิงยื่นมือออกมา แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ไล่ตามเขาไป แค่ถอนหายใจออกมา “ครอบครัวของเราไม่ต้องการบ้านมรดกหลังนี้จริงๆ ไม่งั้นพ่อของฉันจะย้ายออกไปทำไม”
เธอมีความรู้สึกที่ซับซ้อนอยู่ภายในใจ
หากต้องการบ้านมรดกหลังนี้จริงๆ พ่อของเธอคงจะขายมันไปนานแล้ว ถึงอย่างไรพ่อของเธอต่างหากที่เป็นลูกชายคนโตของครอบครัว
แต่พวกเธอไม่ได้ต้องการมัน
“จะให้ผมลงมือจัดการเขาไหม?” ฉินเฟิงถามอยู่ข้างๆ
“ไม่ต้อง ถึงยังไงเขาก็เป็นอาชายรองของฉัน เป็นน้องชายของพ่อ”
จูหลินชิงรีบส่ายหน้า
“คุณใจอ่อนเกินไปแล้ว จะเสียเปรียบนะ”
ฉินเฟิงชำเลืองมองจูหลินชิงพร้อมกับกล่าวขึ้น
คราวนี้เขาไม่ได้ตำหนิจูหลินชิง มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเธอ เขาเป็นคนนอกไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง
“เอาล่ะ ฉันจะทำอาหารให้คุณทาน จะทำให้อร่อยๆ เลย เด็กๆ ในชนบทต้องดูแลเรื่องภายในบ้านตั้งแต่ยังเล็ก ตอนฉันเก้าขวบก็ทำกับข้าวแล้ว ทำเป็นทุกอย่าง ทุกคนในบ้านก็ชมว่าฉันฝีมือดี”
จูหลินชิงหรี่ตาลง ดวงตาเป็นประกาย
ดูราวกับพระจันทร์เสี้ยว
เป็นภาพที่จับใจ
นี่คือกุลสตรีแห่งชาติ นุ่มนวล ว่านอนสอนง่าย นิสัยอ่อนโยน และทำอะไรเป็นทุกอย่าง
“โอเค”
ฉินเฟิงพยักหน้า
จากนั้นในใจก็คิดว่า ถ้าลูกสาวของตัวเองเป็นแบบนี้ก็ดีน่ะสิ ว่านอนสอนง่าย แต่น่าเสียดายที่ไม่น่าจะมีแนวโน้มมาในทิศทางนี้ พ่อแม่ดีเลิศ ลูกไม้จะหล่นไกลต้นได้อย่างไร
แม้แต่ลูกสาวก็เป็นไปไม่ได้
กั่วกั่วไม่น่าจะเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนได้ในอนาคต
ต่อมาหลินชิงก็ออกไปซื้อกับข้าว ในขณะที่ฉินเฟิงยืนอยู่บนระเบียง ในเวลานี้ฉีหยุนได้กลับมารายงานให้ฉินเฟิงฟัง “ท่านนายพล สถานการณ์ทั่วไปในเมืองเทียนหนานกำลังซับซ้อนมาก มีกองกำลังจากทุกฝ่าย ฝ่ายสงคราม ฝ่ายสันติภาพ และกลุ่มแก๊งอีกจำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือแก๊งพยัคฆ์เสือ ซึ่งกุมอำนาจส่วนใหญ่ในเมืองเทียนหนาน แต่พวกเขาคือฝ่ายสันติภาพ อีกกลุ่มหนึ่งคือตระกูลเซี่ยงแห่งเมืองเทียนหนาน นี่คือตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนหนาน กุมอำนาจในหนานโจว นอกจากนี้คนของเรายังสืบได้ว่า ดูเหมือนจะมีคนของตระกูลเก่าแก่ซือหม่าคนหนึ่งอยู่ในตระกูลเซี่ยง”
“ตระกูลเก่าแก่ซือหม่า”
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลังยิ้มเยาะ “ตระกูลเก่าแก่ซือหม่า แก๊งพยัคฆ์เสือ ตระกูลเซี่ยงแห่งเมืองเทียนหนาน ฝ่ายสันติภาพ ที่เรียกว่าฝ่ายสันติภาพหมายความว่ายังไง? ยอมจำนนเหรอ? ฮ่าๆ ศัตรูมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เข่นฆ่าประชาชนไปเป็นจำนวนมาก ยังจะอยู่ฝ่ายสันติภาพอีก”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
ฉินเฟิงเข้าร่วมกองทัพมาเป็นหลายปีแล้ว เข่นฆ่าศัตรูมานับไม่ถ้วน สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือคนที่ร่วมมือสมคบกับศัตรูอยู่แนวหลัง คนประเภทนี้ไม่เคยนึกถึงประเทศชาติ ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
ใครให้ประโยชน์ก็จะเข้าฝักใฝ่
หากศัตรูให้ผลประโยชน์เพียงพอ พวกเขาก็ฆ่าได้ทุกคน
“ใช่ พวกเราสืบพบว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของฝ่ายสันติภาพจะยอมจำนน” ฉีหยุน กัดฟัน สีหน้าโกรธเกรี้ยว
ศัตรูมาถึงที่ประตูบ้านแล้ว ยังจะมัวสันติภาพอยู่อีก?
พวกสวะ
“อ้อ ท่านนายพล ผมยังสืบได้อีกว่า คืนนี้จะมีงานเต้นรำใหญ่ในเมืองเทียนหนาน ชนชั้นสูงส่วนใหญ่จะมาร่วมงาน รวมถึงคุณชายตระกูลเซี่ยงด้วย พวกเราจะไปไหม?” ฉีหยุนถามขึ้น
“ไป ไปแน่นอน”
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง มองไปยังอาคารสูงด้านนอก ในแววตาเกิดความนึกสนุกขึ้นมา “ที่พวกเรามาในครั้งนี้ก็เพื่อดึงดูดความสนใจ ถ้าไม่มีคนตายบ้างจะดึงดูดสายตาจากผู้คนให้มารวมกันตรงนี้ได้ยังไง”