เทพศึกมังกรหวนคืน - ตอนที่ 239 เอ้อโก่วที่อยู่ข้างบ้าน
“จริงสิครับ คุณยาย ตอนนั้นซูยุ่นให้คนกลับมาซื้อบ้านให้คุณยายหลังหนึ่งไม่ใช่หรอครับ?แต่ว่า ตอนนี้……”ฉินเฟิงถาม
เขาให้คนไอจัดการโดยเฉพาะ
แต่ว่าตอนนี้คุณยายเสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยเย็บ ท่าทางไม่เหมือนคนมีเงินทองเลย
“บ้านหลังนั้นน่ะหรอ โดนรื้อไปแล้วล่ะ บอกว่าจะเอาไปทำสถานบันเทิง หลังจากนั้นฉันก็ออกมาเลย”คุณยายค่อยๆเล่า
“โดนรื้อไปแล้ว?มีเงินค่าชดเชยไหมครับ?”
“มีสิ แต่ไม่ได้ให้ คนพวกนั้นบอกว่าเงินกำลังจัดสรรอยู่ รอผ่านไปช่วงหนึ่งถึงจะส่งมาให้ ช่วงหนึ่งของพวกเขา นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้วล่ะ ทุกครั้งที่ฉันไปขอ พวกเขาจะหาคำแก้ตัวเสมอ”
คุณยายพูดอย่างมีน้ำโห แต่ถึงจะโกรธไปยังไงก็ไม่มีประโยชน์
เนื่องจากอายุมากแล้ว
จะพูดยังไงก็พูดไม่ได้ แย่งก็แย่งไม่ได้
“สองปี!”
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว เงินชดเชยค่ารื้อถอนอะไร จะใช้เวลาถึงสองปีกัน นี่มันรังแกคุณยายที่มีอายุมากแล้วชัดๆ จงใจไม่ให้
“คุณยายครับ บัตรเงินเดือนของซูยุ่นละครับ?”ฉินเฟิงกล่าวอีกครั้ง
นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด บัตรเงินเดือนใบนั้น มีเงินบำนาญของไอ้โจว หลายแสนเลย
“บัตรใบนั้นน่ะหรอ ฉันไม่รู้ว่าจะถอนยังไง เอ้อโก่วคนข้างบ้าน ไปช่วยฉันถอนน่ะ แต่เขาบอกว่า มีแค่สองพันหยวน เขาถอนมาให้ฉันหมดแล้วล่ะ”คุณยายจำได้ดี
“สองพันหยวน”
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว
ในบัตรเงินเดือนของไอ้โจว มีเงินอย่างน้อยสองแสน ทำไมจู่ๆถึงกลายเป็นสองพันไปได้ล่ะ
ฉินเฟิงเหลือบมอง ฉีหยุนแวบหนึ่ง แล้วออกคำสั่งว่า“สืบมาว่าเอ้อโก่วเป็นใคร เกิดอะไรขึ้น?”
“ครับ”
ฉีหยุนรีบไปหาเหลียงชิวโม่ทันที
ในพื้นที่ อิทธิพลของเหลียงชิวโม่ใช้ได้ผลมากที่สุด
“คุณยายครับ ตอนนี้ก็เย็นมาแล้ว ผมช่วยคุณยายเข็นกลับไปนะครับ”ฉินเฟิงมือวางไว้บนรถเข็น
“ไม่ต้องหรอกจ๊ะๆ”
คุณยายรีบกล่าวปฏิเสธ
แต่ว่า สุดท้ายก็ทัดทานฉินเฟิงไม่ได้ จึงปล่อยให้ฉินเฟิงเข็นรถกลับไป หลังจากเข็นกลับไปแล้ว ถึงพบว่าเป็นชุมชนเก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่ง บริเวณโดยรอบทรุดโทรมเก่าผุพัง
กระทั่งกำแพงยังมีรอยร้าว
ยังมีรอยขูดขีดเขียน ดูรกร้างอยู่บ้าง
“ท่านนายพลครับ ที่นี่เป็นเขตนอกเมืองของเมืองเทียนหลิงครับ สถานที่ตรงจุดนี้รกร้างไปแล้วครับ”หวางเถ่รายงานอยู่ข้างๆ เมื่อก่อนเขาเคยพักสถานที่แบบนี้ มีความเข้าใจอยู่บ้าง
ที่นี่ถึงแม้จะสภาพแวดล้อมไม่ดี แต่บ้านเช่าถูกมาก
กระทั่ง มีบ้านที่ปล่อยรกร้าง ไม่ต้องเช่า
“เสี่ยวเมิ่ง รีบออกมาเร็วเข้า บ้านเรามีแขกแล้วนะ”
คุณยายตะโกนเรียกหนึ่งครั้ง จากนั้นด้านในก็มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ใบหน้าสดใส แต่กลับแต่งตัวค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่
“พวกคุณคือ?”
โจวเสี่ยวเมิ่งเดินออกมา กวาดตามองดูฉินเฟิงแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างอดไม่ได้
“พวกเขาเป็นสหายของพ่อแกไง ครั้งนี้พ่อของแกส่งพวกเขามากลับมาเยี่ยมเรา ทุกท่าน นี่คือหลานสาวฉันเองค่ะ ลูกสาวของเสี่ยวซู โจวเสี่ยวเมิ่ง”
คุณยายรีบกล่าวแนะนำ
แต่ทว่า เมื่อโจวเสี่ยวเมิ่งได้ยินคำพูดนี้ จึงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน“ไอ้หมอนั่น จากบ้านไปตั้งหลายปี ยังรู้ว่ามีเราอยู่หรอ ยังเรียกคนกลับมาเยี่ยมอีก ทำไมเขาไม่กลับมาล่ะ”
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และเสียใจ
“คุณว่า ไอ้หมอนั่นจะกลับมาเมื่อไรหรอ?”
โจวเสี่ยวเมิ่งมองไปที่ฉินเฟิง ดวงตาคู่กลมโต เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เขายุ่งน่ะ”
ฉินเฟิงไม่รู้จะตอบอย่างไร จะพ่นคำนี้ออกไป
“ยุ่ง?ยุ่งเลยต้องทิ้งครอบครัวไป ไม่กลับมาหลายปีแบบนี้น่ะหรอ?แม้แต่งานศพแม่ของฉัน เขาก็ยังไม่กลับมา เป็นพ่อประสาอะไรกัน ฉันไม่นับเขาเป็นพ่อหรอกนะ”
เสียงดังคว๊าง
โจวเสี่ยวเมิ่งหันหลังเดินเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตู
ด้วยความโกรธ
“เห้อ ขอโทษด้วยนะจ๊ะ เด็กคนนี้ฉันสั่งสอนไม่ดีเอง……นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร”คุณยายรีบกล่าวขอโทษขอโพย
“ไม่เป็นไรครับ”
ฉินเฟิงโบกมือไปมา อันที่จริงเขาก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน
แต่ในเวลานี้เอง ก็มีเด็กชายคนหนึ่งอายุราวๆสิบห้าสิบหกปีกลับมาจากข้างนอก เขาสวมชุดนักเรียนมัธยมต้น แต่บนตัวกลับเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด บนใบหน้าเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ ม่วงบ้างเขียวบ้าง
“หลานรัก ไปล้มมาอีกแล้วหรอ?”
คุณยายรับก้าวไปข้างหน้าเช็ดเสื้อที่มอมแมมของเด็กชาย
“อืม”
เด็กชายพยักหน้า“วันนี้ตอนกลับมาลื่นน่ะครับ ล้มไปหลายครั้งเลย”
“เด็กคนนี้หนิ ทำไมล้มบ่อยจังเลย”คุณยายกล่าวอย่างปวดใจ
จากนั้น ก็แนะนำเด็กชายให้รู้จักกับพวกของฉินเฟิง“นี่เป็นสหายของพ่อแก เรียกคุณลุงสิ”
เด็กชายเงยหน้าขึ้น แล้ววิ่งหนีหายไป
“ซูหวน”
คุณยายเรียกเขาอยู่หลายครั้ง แต่เรียกยังไงก็ไม่หยุด สุดท้ายเด็กชายคนนี้ก็วิ่งหนีหายไป จากนั้นเธอก็หันกลับมาพูดกับฉินเฟิง อย่างรู้สึกผิดว่า“ขอโทษนะจ๊ะ เด็กคนนี้ คือเสี่ยวซูลูกชายคนเล็ก วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่เชื่อฟังเลย”
“ไม่เป็นไรครับ”
ฉินเฟิงโบกมือไปมา
แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ด้านล่างมีชิงช้าที่ค่อนข้างเก่าอันหนึ่ง เด็กชายก้มหน้าลง ไกวชิงช้าไปมา อย่างเงียบๆ
“เป็นอะไรหรอ?เป็นเพราะชกต่อย แพ้หรอ?”
จู่ๆ ด้านหลังของเด็กชาย ก็มีเสียงหนึ่งดังลอดขึ้นมา
ทำให้เด็กชายตกใจจนตัวโยน รีบกระโดดลงมา แล้วหันหลังกลับไป ทันทีที่มองเห็นฉินเฟิง เขาก็รู้สึกไม่พอใจทันที“คุณมาทำไม?ผมไม่ชอบคนอย่างพวกคุณ”
“เพราะอะไร?”
ฉินเฟิงเดินเข้ามา แล้วนั่งบนก้อนหินใหญ่ จากนั้นก็ค่อยๆพูดขึ้นมาว่า“หรือเป็นเพราะว่า พ่อของนายไม่กลับบ้าน?แต่เพราะ ถ้าไม่ใช่เขา ไม่แน่ต้าหัวอาจจะราบเป็นหน้ากลองไปแล้วก็ได้ นาย พี่สาวของนาย และยายของนายก็ต้องตาย”
“ผม……ผม……”
เด็กชายอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“เอาไปถูกก่อนเถอะ”
ฉินเฟิงโยนขวดยาผงขาวยูนนานออกไปหนึ่งขวด เขาซื้อมาจากระหว่างทางเมื่อสักครู่ มันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้
เด็กชายรับขวดยาผงยูนนานมา ด้วยความเหม่อลอย
“ทำไมหรอ ทำไม่เป็น?”
ฉินเฟิงเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ครับ เมื่อก่อนไม่เคยมีใครซื้อให้ผม”
“ทำไมล่ะ?”
“ผมกลัวว่าคุณยายจะเป็นห่วง ดังนั้นทุกครั้งที่กลับมาผมจะบอกว่าตัวเองหกล้ม และซ่อนบาดแผลเอาไว้ ยาผงขาวยูนนานขวดหนึ่งราคาแพงมาก มันสามารถซื้อข้าวได้ตั้งหลายมื้อ พี่สาวของผมน่ะ ตอนนั้นเพราะว่าไม่มีเงิน สอบติดมหาวิทยาลัยได้ แต่ก็ต้องลาออกกลางคันเพื่อไปทำงาน ดูแลพวกเรา ไม่รู้ว่าพ่อที่อยู่ในสนามรบของผม กำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เขาทิ้งพวกเราไปแล้วจริงๆหรอ”
พูดไปพูดมา เด็กชายก็เริ่มร้องไห้
ฉินเฟิงรู้สึกสงสาร เขาดึงเด็กชาย มากอดไว้ในอ้อมกอด“ไม่เป็นไรนะ พ่อของนายไม่อยู่แล้ว แต่ฉันยังอยู่”
“แต่ว่า ทำไมถึงได้ไปชกต่อยล่ะ?”
หลังจากค่อยยังชั่ว ฉินเฟิงถาม
ดูออกว่า นี่ไม่ใช่การชกต่อยครั้งสองครั้งแล้ว
“พวกเขาด่าว่าผมเป็นไอ้ลูกนอกคอก ไม่มีพ่อไม่แม่ พ่อผมยังมีชีวิตอยู่ แค่ยังไม่กลับมาเท่านั้น พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาด่าว่าเป็นไอ้ลูกนอกคอก เป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันประชุมผู้ปกครอง พวกนั้นเยาะเย้ยผมว่าไม่มีคนไม่ร่วมงานให้ ยังขวางทางกลับบ้านผม ผมทนไม่ไหว เลยซัดกับพวกเขา แต่ผมคนเดียว ผมสู้ไม่ไหว”
“โจวซูหวน พรุ่งนี้ ฉันจะไปร่วมงานกับเธอ”
ฉินเฟิงลูบหัวของเด็กชายไปมา
งานประชุมผู้ปกครองของกั่วกั่ว มันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ตนกับไอ้โจวสารเลวจริงๆ