บทที่ 4 ตอนที่ 6.1
เช้าวันต่อมา พวกเราเริ่มทำการสำรวจเขาวงกตกันต่อแต่เช้า
ชั้นแรงค์ E แรงค์ของศัตรูมีสูงกว่าของเมื่อวานอยู่ 1 แรงค์ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่พวกมันไม่ถือว่าเป็นอุปสรรค
ด้วยความสามารถสกิลจ้าวอาณาเขตของยูคิยังคงแข็งแกร่ง ทำให้เดินหน้าต่อไปได้โดยไม่เจอกับศัตรูใดๆเข้ามาขัดขวาง
ศัตรูในชั้นแรงค์ F และ E นั้น มีแค่สภาพแวดล้อมกับคุณสมบัติพื้นที่…..เพียงแค่นั้นแหละ
แต่ถึงอย่างนั้น เพราะว่าวันนี้มีพวกเราอยู่ด้วยกัน 4 คนจึงรู้สึกว่าง่ายกว่าเมื่อวาน
อาจจะเพราะว่ามีอุปกรณ์เวทมากกว่าตอนที่อยู่คนเดียว หรือไม่ก็อาจเพราะมีพรรคพวกที่ช่วยแบ่งปันความยากลำบากก็เป็นได้
ต้องขอบคุณการมีอยู่ของคิมาริส การเก็บกู้คาบังเคิลโกเมนจึงเป็นไปอย่างราบรื่น แล้วพวกเราก็ผ่านชั้นแรงค์ E มาได้ภายใน 6 ชม.
นั่นก็เป็นส่วนที่ง่ายที่สุดจนถึงตอนนี้
ความสามารถของจ้าวอาณาเขตจะมีผลแค่กับศัตรูที่มีแรงค์ต่ำกว่า 2 แรงค์ สำหรับยูคิที่มีพลังต่อสู้เทียบเท่ากับแรงค์ B แม้แต่ศัตรูแรงค์ D เองก็อยู่ในขอบเขตไปด้วย แต่มันคงจะไม่เป็นธรรมชาติที่ไลแคนโทรปแรงค์ C จะต้านทานศัตรูแรงค์ D เอาไว้ได้
พวกอันนาได้ถูกบอกแค่ว่าจะใช้งานสกิลกีดกั้นศัตรูของยูคิ แต่มืออาชีพอย่างอาจารย์คงสามารถเดาได้ว่ามันหมายถึงจ้าวอาณาเขต
เนื่องจากการปกปิดเรื่องของสกิลทำลายขีดจำกัดถือเป็นความสำคัญสูงสุด ในชั้นแรงค์ D จึงไม่ได้ใช้จ้าวอาณาเขต
ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติพื้นที่ แม้แต่ศัตรูแรงค์ D ก็สามารถเป็นภัยคุกคามที่ไม่อาจละเลยได้
พูดอีกอย่างคือ จากนี้เป็นต้นไปคือของจริงแล้ว
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ได้คิดและเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว แต่…..
「—-ในชั้นแรงค์ D จะไม่ทำการพิชิต คิดว่าจะใช้ทางลัดแทนค่ะ」
ด้วยคำของอันนาก็ทำเอาผมต้องอ้าปากค้าง
ตอนนี้ พวกเรากำลังหยุดพักและกินมื้อเที่ยงกันภายในมาโยยกะ
ขณะที่กำลังเอร็ดอร่อยกับแซนด์วิชที่ออดรีย์ทำมาให้ บทสนทนาก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นเรื่องการพิชิตชั้นแรงค์ D ยังไงให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
แล้วสิ่งแรกที่อันนาพูดมาก็คือ จะไม่ทำการพิชิตชั้นแรงค์ D
「จะไม่พิชิตเนี่ย…..」
ขณะกำลังจะเอ่ยปากถาม ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้
「หรือว่า จะใช้การ์ดเวทมนตร์ลี้ภัยฉุกเฉินงั้นเหรอ?」
「ค่ะ บอกตามตรงว่าการพิชิตชั้นแรงค์ D เป็นเรื่องเสียเวลา เนื่องจากว่ามีเวลาจำกัดอยู่แค่จนถึงหมดวันหยุดหน้าร้อน จึงควรพยายามลดความเป็นไปได้ที่จะทำให้เวลาหมดเท่าที่จะทำได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเขาวงกตแรงค์ C ต่อให้มาทำการพิชิตชั้นแรงค์ D เอาตอนนี้ ก็คงไม่ทำให้เกิดการเติบโตมากเท่าไหร่ ถ้าหากสามารถไปถึงห้องบอสได้แล้วมีเวลามากพอ ก็ค่อยเก็บกู้คาบังเคิลโกเมนกันระหว่างที่พิชิตเอา…..ก็เป็นแบบนั้นแหละค่ะ」
ด้วยคำอธิบายของอันนา ทุกคนก็-อย่างงี้นี่เอง-…..ทำท่าเห็นด้วย
การต่อสู้ในชั้นแรงค์ D ถือเป็นการอุ่นเครื่องที่ดีก่อนการต่อสู้ในชั้นแรงค์ C แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการอุ่นเครื่อง
เนื่องจากว่าการต่อสู้ของจริงอยู่ในชั้นแรงค์ C แล้วยังมีเวลาจำกัดถึงแค่วันหยุดหน้าร้อน ถ้าทำได้ก็อยากจะข้ามชั้นแรงค์ D ไป
แต่ว่า…..
「ใช้ลี้ภัยฉุกเฉินนี่…..ดูฟุ่มเฟือยนะ」
ผมที่สามารถใช้ขลุ่ยของฮาเมลินได้มากเท่าที่ต้องการอาจจะไม่สามารถเข้าใจได้มากเท่าไหร่นักแต่ การ์ดลี้ภัยฉุกเฉินมันมีราคาแพงมาก
พอมาคิดว่าการ์ดลี้ภัยฉุกเฉินที่มีราคาขั้นต่ำ 3 ล้าน จะถูกนำมาใช้เพื่อพิชิตเขาวงกตแรงค์ C ที่ต่อให้มันเป็นกึ่งซีเคร็ทดันเจี้ยนก็ตามที…..
ปกติแล้วมันเป็นอะไรที่จะถูกใช้เพื่อพิชิตเขาวงกตแรงค์ B…..คิดเช่นนั้นพร้อมกับมองไปทางอันนาด้วยความประหลาดใจปนชื่นชม
「เอ ก็…..มันต้องใช้เงินก็จริงอยู่ แต่ความเป็นไปได้ที่จะเคลื่อนย้ายไปที่ไหนซักแห่งในชั้นแรงค์ C เองก็มีมากกว่า 2 ใน 3 เพราะงั้นมันจึงเป็นการเดิมพันที่ไม่เลว」
「อย่างงี้นี่เอง…..」
「อะ แน่นอนว่าทั้งหมดมาจากกระเป๋าเงินของชั้นเอง เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วง ไม่เป็นภาระอะไรกับทุกคนหรอกค่ะ」
「ไม่ไม่! เดี๋ยวผมเองก็จะช่วยตรงนั้นด้วย เพราะมันทำเพื่อทีมยังไงล่ะ」
พออันนาบอกว่าจะจ่ายมันด้วยกระเป๋าเงินของตัวเอง ผมก็รีบขัดแล้วทุกคนก็พยักหน้าและบอกว่าจะช่วยจ่ายด้วยเช่นกัน
「แหม~ เอาจริงๆก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจส์ไปหรอก เป็นการตัดสินใจของชั้นเองคนเดียวด้วย」
「ไม่ได้ไม่ได้ เรื่องแบบนี้มันต้องระวังเอาไว้…..กลับกันแล้วในฐานะทีม ถ้าเกิดว่ามันเป็นการใช้เงินกรณีไม่ดีก็ต้องถูกคัดค้านแน่นอน」
ในตอนที่ผมบอกว่าจะให้ยืมคิมาริส อันนาก็เป็นคนบอกเองว่าของแบบนี้ต้องทำให้มันถูกต้อง
การ์ดเวทมนตร์ไม่เหมือนกับการ์ดมอนสเตอร์ เป็นของที่ใช้แล้วหมดไป จึงจำเป็นต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
「อืม…..เป็นอย่างงั้นสินะ ถ้างั้นก็ต้องขอโทษด้วยส์ แต่ต้องขอให้เป็นภาระร่วมกันในทีมด้วยค่ะ」
「อือ อะ จะว่าไป ถึงจะรู้ว่าป่านนี้แล้วแต่เกี่ยวกับการ์ดลี้ภัยฉุกเฉินที่ได้เคยยืมไปก่อนหน้านี้ล่ะ? ให้จ่ายคืนทีละนิดจากการแบ่งโกเมนดีไหม?」
แม้จะสายไปหน่อยแต่ผมก็ยกเรื่องที่ได้ยืมการ์ดลี้ภัยฉุกเฉินมาตั้งแต่การสืบสวนผู้ใช้หมาล่าเนื้อขึ้นมา
「อะ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ถือว่าเป็นความรับผิดชอบในฐานะของคนที่ชวนมาเข้าทีม กรุณาเก็บเอาไว้แบบนั้นเถอะค่ะ เอาจริงๆถ้ามาลงรายละเอียดกับอะไรพวกนี้ มันจะค่อนข้างยุ่งยากเอาได้ อย่างเรื่องการแบ่งของรางวัลสำหรับขลุ่ยของฮาเมลินของรุ่นพี่, หรือรางวัลสำหรับใบอนุญาติมืออาชีพของรุ่นพี่คันนาซูกิ เพราะงั้นให้มันยืดหยุ่นในระดับหนึ่งจะดีกว่า」
…..มันก็จริง ถ้ามาเริ่มคำนวณการยืมหรือติดหนี้กันอย่างละเอียดเกินไปคงได้ยุ่งยากแน่ๆ
ขลุ่ยของฮาเมลินของผม, ใบอนุญาติมืออาชีพของของอาจารย์, เงินจากครอบครัวและเส้นสายของอันนา สมาชิกแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัวของตัวเองซึ่งต่างช่วยเหลือกันในแต่ละด้าน
เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนมันเป็นมูลค่าเงิน และเหนือสิ่งอื่นใด การติดราคาให้กับมิตรภาพและความเชื่อใจ มันทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
「มู…..ถ้าคิดดูแล้ว ชั้นไม่มีส่วนช่วยมากเท่าไหร่เลย…..」
「ไม่ไม่ ซาโยะน่ะมีส่วนช่วยด้านมันสมองส์ไง」
「อือ การทำนายการสอบของซาโยะก็ช่วยผมเอาไว้ด้วย」
「ใช่ใช่ ผมเองที่เพิ่งย้ายมาก็ช่วยไว้ได้มากเลย」
「แต่อันนาดูเหมือนว่ายังต้องเข้าชั้นเรียนเสริมอยู่นะ」
「อา…..นั่นมันก็ดูจะเป็นแบบนั้นจริงๆแหละ」
อาจจะเพราะกำลังนึกภาพตัวเธอที่ต้องเข้าชั้นเรียนเสริมในทุกวิชา อันนาจึงคอตกด้วยความสิ้นหวัง
โอริเบะเมื่อเห็นเป็นแบบนั้น ดูจะพอทำความเข้าใจขึ้นได้บ้าง
「อืม…..เดาว่าตอนนี้คงต้องขอใช้ประโยชน์จากความใจตีของทุกคนไปก่อน แต่ว่า คงจะต้องคิดว่าวิธีช่วยขึ้นมาเอาไว้ซักทางค่ะ…..」
「น่า พยายามอย่าไปคิดมากละกัน」
นอกเหนือไปจากใบอนุญาติมืออาชีพของอาจารย์ที่ได้มาด้วยความพยายามอย่างหนักแล้ว ทั้งขลุ่ยของฮาเมลินของผม และชาติกำเนิดของอันนา ต่างก็มาจากดวงเป็นส่วนใหญ่
และสำหรับใบอนุญาติมืออาชีพเอง ในไม่ช้ามันก็คงจะไม่ได้มีเพียงแค่อันเดียวแน่…..
การไปคิดมากว่าใครที่มีส่วนช่วยหรือไม่มีส่วนช่วย มีแต่จะทำให้มันยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเท่านั้น
ผมชอบบรรยากาศที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ให้เป็นเช่นนั้นต่อไปก็ดีแล้ว
พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเพียงเพื่อผลกำไรและขาดทุน
หลังทานอาหารเสร็จและออกมาจากมาโยยกะ ก็ทำการใช้งานการ์ดลี้ภัยฉุกเฉินทันที
สถานที่ที่ถูกเคลื่อนย้ายมา คือป่า…..ไม่สิดูเหมือนจะเป็นภูเขายามพลบค่ำ
「รุ่นพี่ รู้รึเปล่าคะว่าที่นี่ชั้นที่เท่าไหร่?」
「…..เอลิซ่า」
「เยส, มาสเตอร์」
ส่งผ่านคำถามของอันนาไปยังเอลิซ่า
เธอเอาหน้าผากแตะกับขลุ่ยของฮาเมลินพร้อมตั้งสมาธิแล้วจึงตอบ
「…..เข้าใจแล้ว คิดว่าที่นี่คือชั้นที่ 42 ค่ะ」
「โอ้ เป็นจุดที่ดีใช้ได้เลยส์นี่นา!」
อันนาส่งเสียงดีใจที่ได้มาโผล่ในจุดที่ดี
「เส้นทางรองมีความลึก 10 ชั้น งั้นก็แสดงว่าคงเป็นเส้นทางหลักสินะคะ」
「ก็นะ แต่ถ้าไม่จัดการผู้พิทักษ์ก็ไม่สามารถท้าสู้กับจ้าวได้อยู่ดีแหละ」
「แต่ถึงอย่างนั้นที่สามารถข้ามมาถึงหน้าจ้าวได้เลยก็ถือว่าโชคดีล่ะนะ」
「แล้วเอายังไง? จะไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้ในเส้นทางหลักดี? หรือหันหลังกลับไปจัดการกับเส้นทางรองก่อนดี?」
ผมถามกับอันนา
「อืม…..ไปเส้นทางหลักก่อนละกันค่ะ」
「จะดีเหรอ? ถ้าหากเจอกับดักเทเลพอร์ตระหว่างทางล่ะก็ ตำแหน่งจะถูกรีเซ็ตเอานะ」
ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ หลายชั้นที่พิชิตผ่านไปได้ในเส้นทางหลักจะเสียเปล่าไป
「อา ไม่เป็นไรค่ะ แผนการดั้งเดิมทีก็จะพิชิตชั้นผนึกสกิลโดยที่ไม่มีรุ่นพี่อยู่แล้ว หลังจากที่ทำแผนที่เส้นทางปลอดภัยไปสู่บันไดได้จึงค่อยพารุ่นพี่ไปชั้นถัดไป เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องข้อมูลตำแหน่งหรอกค่ะ」
โอ่ยโอ่ย แยกผมไว้งั้นเหรอ…..
แต่มาคิดดูแล้ว ก็จริงที่หากคำนึงถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลตำแหน่งในขลุ่ยของฮาเมลินจะสูญหาย มันจะดีกว่าถ้าจะสำรวจไปโดยไม่มีผม มันจะเสี่ยงน้อยกว่าถ้าจะให้ผมไปได้หลังจากที่สำรวจเส้นทางแล้วว่าไม่มีกับดักเทเลพอร์ต
ถ้าหากว่าสมาชิกชมรมถูกจับแยก ก็สามารถไปรับตัวได้ทันทีถ้าหากได้พิชิตชั้นนั้นไปแล้ว
แล้วในขณะที่พวกอันนาทำการสำรวจชั้นผนึกสกิล…..ผมก็ไปทำการสำรวจชั้นแรงค์ D
「งั้น มาเริ่มสำรวจเส้นทางหลักกันเถอะ คุณสมบัติของพื้นที่นี่คืออะไรเหรอ?」
「เอ็ตโต คุณสมบัติของชั้นที่ 42…..อุ่ฟ จำกัดการอัญเชิญที่ 2 ใบส์ค่ะ」
「อึ่ก…..ถ้าแย่ที่สุดคือผนึกสกิล นี่ก็รองลงมา 1 ขั้นจากนั้นเลย」
「แต่ว่าคนล่ะ 2 ใบเหรอ คำถามก็คือใครจะอัญเชิญการ์ดไหนล่ะนะคะ」
โอริเบะกอดอกแล้วพูด
โดยปกติแล้ว 1 คนจะสามารถอัญเชิญได้สูงสุด 8 ใบ จึงไม่ได้คิดมากว่าใครจะอัญเชิญการ์ดอะไร แต่ในชั้นนี้ที่ 1 คนอัญเชิญได้แค่ 2 ใบ การแบ่งหน้าที่แต่ละคนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
「เริ่มจากการ์ดที่มีปลดกับดัก ต่อไปก็สกิลประเภทค้นหา การฟื้นฟูเองก็สำคัญ」
「ฟุมุ อยากจะให้มีอัยเชิญวงศ์วานไว้อย่างน้อยซักใบ เพื่อทดแทนการเสียเปรียบด้านจำนวนด้วย」
「นอกเหนือจากนั้นแล้วก็เป็นแนวหน้า 2, สังเกตการณ์ 2, แนวหลัง 2, สนับสนุน 2 ประมาณส์นี้สินะคะ?」
「ไม่ละ อยากจะได้กองหน้ามากกว่านี้ซักหน่อยน่ะ」
「งั้นเอาเป็นแนวหน้า 3, สังเกตการณ์ 1, แนวหลัง 2, สนับสนุน 2 ดีส์ไหมคะ?」
อาจารย์ที่มองดูอยู่เงียบๆ ทำการเรียกให้หยุด
「…..ไม่สิ รอเดี๋ยวนะ บางทีพวกเราอาจจะก้าวไปต่อข้างหน้าตามแผนที่วางไว้ไม่ได้ก็ได้」
เป็นโอริเบะที่เข้าใจถึงความหมายที่ต้องการสื่อ
「…..งี้นี่เอง ขาดการประสานงานสินะคะ」
「อืม มันจะเป็นการจัดแบ่งที่ดีกว่าหากมาสเตอร์ 1 คนจะใช้ลิงค์เพื่อการต่อสู้」
มันไม่มีลิงค์ระหว่างมาสเตอร์ด้วยกันเอง หรือก็คือ การ์ดแต่ละคู่จะต้องสู้แยกกัน…..
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงจะต้องรู้สึกเป็นห่วงที่จะต้องฝากแนวหลังซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องไว้กับคนอื่น
「…..ท้ายที่สุดแล้ว ให้แต่ละคนอัญเชิญการ์ดแนวหน้า 1 ใบจะปลอดภัยกว่าสินะคะ?」
「อืม คงจะเป็นแบบนั้นแหละ」
「ถ้างั้นก็ จะทำการมอบหน้าที่ปลดกับดัก แล้วก็เรื่องที่ใครจะรับหน้าที่—-」
หลังจากการปรึกษาร่วมกัน การ์ดที่จะทำการเรียกมาเป็นดังต่อไปนี้
ผม : เอลิซ่า(แรงค์ C・แนวหน้า・หน่วยปลดกับดัก), ยูคิ(แรงค์ C・สังเกตการณ์ ・หน่วยดูลาดเลา)
อาจารย์ : เซนคิ・โกคิ(แรงค์ C・แนวหน้า, แนวหลัง・ประเภท 2 ใบรวมเป็น 1), อะราเดีย(แรงค์ B・ สนับสนุน・หน่วยฟื้นฟู)
อันนา : ดูนามิส(แรงค์ B・แนวหน้า), เอลฟ์(แรงค์ C・แนวหลัง)
โอริเบะ : ดูลลาฮาน(แรงค์ C・แนวหน้า), โฮโนอิคาซึจิโอคามิ(แรงค์ C・ สนับสนุน・หน่วยอัญเชิญวงศ์วาน) หรือ โจโรงุโมะ(แรงค์ B・ สนับสนุน・หน่วยอัญเชิญวงศ์วาน)
การตัดสินใจเริ่มจากโอริเบะกับอันนาที่มีการ์ดแรงค์สูงๆ อยู่น้อย แล้วจึงให้ผมกับอาจารย์เติมช่องว่างที่เหลืออยู่
สำหรับหน่วยฟื้นฟู มีถกเถียงกันว่าจะให้เป็นเร็นกะที่สามารถใช้ฝนอมฤตตอนหวนคืนจิตวิญญาณดี หรือว่าเป็นอะราเดียที่มีสกิลจอมเวทย์ขั้นสูงและเป็นแนวหลังที่มีความยืดหยุ่นดี แต่เพราะอะราเดียมีสกิลแบบ passive ที่ฟื้นฟูพลังเวทและลดการใช้ทรัพยากร ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง จึงตัดสินใจเลือกเป็นอะราเดีย
อีกทั้งหน่วยโจมตีในแนวหลัง อาจารย์เองก็มีการ์ด 2 ใบรวมเป็น 1 ที่รับหน้าที่ได้ทั้งแนวหน้าและแนวหลัง หน้าที่ของผมจึงเป็นการปลดกับดักและการดูลาดเลาเพื่อตรวจจับศัตรู
สำหรับหน่วยดูลาดเลา โกคิของอาจารย์เองก็สามารถทำเลียนแบบการดูลาดเลาศัตรูได้อยู่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีสกิลตรวจจับตัวตน ที่ถูกเลือกจึงเป็นยูคิที่มีความสามารถตรวจจับตัวตนตามที่คาดไว้
ทว่าการจัดกลุ่มนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ตัวการ์ดสามารถสับเปลี่ยนตามความสถานการณ์จากความเสียหาย พลังเวทที่ถูกใช้ โดยที่ยังคงความยืดหยุ่นเอาไว้ให้อยู่ในระดับสูง
และแล้วแผนการก็เป็นอันตัดสิน ภารกิจการพิชิตเขาวงกตแรงค์ C ของจริงของพวกเราในที่สุดก็ได้เริ่มต้นขึ้น
—-บางที การคาดการณ์ของผมมันอาจจะมองในแง่ดีมากเกินไป
「ยังมีกำลังเสริมของศัตรูมาเพิ่ม! แรงค์ C 3 ตัว! วงศ์วานแรงค์ D 10 ตัว! ส่งวงศ์วานไปด้วย ซาโยะ!」
「ส่งออกไปแล้ว!」
「จะยิงเมเทโอแล้ว! คาโน่ซัง ช่วยเครียเส้นทางการยิงด้วย!」
「ช่วยรอซักครู่ค่ะ! …..ตอนนี้ล่ะ!」
「รับทราบ!」
ผมที่มองดูการโต้ตอบของคำพูดอย่างแข็งขันอยู่ อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดแบบนั้น
ตอนนี้ พวกเรากำลังถูกศัตรูโจมตีอย่างหนัก
ศัตรูแต่ละตัวที่แห่กันเข้ามานั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเราแต่ละคนมีพลังต่อสู้ที่มากพอจะจัดการมันได้
แต่พอมันมาเป็นระลอกอยู่หลายๆครั้ง เรื่องมันก็ต่างออกไป
ในตอนแรกเริ่มแค่พลาดไปเพียง 1 ตัว แล้วจากนั้นกำลังเสริมก็ตามมา แล้วต่อมาที่พลาดไปก็กลายเป็น 2 ตัว อย่างช้าๆ จำนวนของศัตรูที่ไม่สามารถจัดการได้ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น จนในที่สุดพวกที่มีความสามารถอัญเชิญวงศ์วานได้ก็โผล่ออกมา ทำลายสมดุลของกำลังรบไปอย่างสิ้นเชิง และในที่สุดจำนวนของศัตรูก็มีมากเกิน 20 ตัว
ด้วยการเหลือเพียงแค่ 8 ใบ ทางนี้จึงอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
「! รุ่นพี่ ขอโทษ มีหลุดไปทางนั้น 1 ตัว!」
เวลาเดียวกันกับที่โอริเบะตะโกนเตือนมาทางนี้ ศัตรูก็มาอยู่ตรงหน้าของผมแล้ว
หมียักษ์สีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตที่แบจะรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์—-กิมุนกามุย*ล่ะ
เทพแห่งภูเขาจากตำนานของไอนุฝ่าทะลวงวงล้อมของวงศ์วานของโอริเบะและเข้ามาใกล้ ขนของมันเปื้อนไปด้วยเลือดทั้งจากของตัวเองและของศัตรู ความมุ่งร้ายนั้นไม่มีสั่นคลอนขณะทำการเหวี่ยงแขนที่ใหญ่โตราวกับต้นไม้ใหญ่เข้าใส่ผม
กรงเล็บที่ดูราวกับจะสามารถตัดร่างอันบอบบางของมนุษย์ได้ราวกับเนย ทว่ามันมาไม่ถึงตัวผม กิมุนกามุยถูกกัดจากหมาป่าที่มีขนาดใหญ่พอๆกัน ซึ่งพุ่งเข้าใส่จากด้านข้างและกดตัวเอาไว้กับพื้น
หญิงสาวที่มีใบหน้างดงามและเยือกเย็นนั่งคร่อมอยู่บนหลังของหมาป่ายักษ์ ที่มือกำดาบยาวและบังเหียนสีทอง
หญิงสาวอาศัยแรงส่งจากการพุ่ง แทงดาบเข้าใส่หน้าผากของหมี
ไม่ว่าสัตว์ประหลาดนั้นจะมีพลังชีวิตที่ไม่อาจจะนำสิ่งชีวิตธรรมดามาเทียบได้เช่นไร มันก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่ กิมุนกามุยที่หลังจากถูกดาบแทงเข้าไปในสมอง ดิ้นรนอยู่ได้ประมาณ 10 วินาที แต่ในที่สุดร่างของมันก็กลายสภาพไปเป็นเพียงหินเวท 1 ก้อน
เมื่อยืนยันได้เช่นนั้นแล้ว ผมจึงตอบกลับโอริเบะ
「ทางนี้คิทากาว่า กิมุนกามุยถูกจัดการแล้ว」
「…..สมแล้ว」
โอริเบะยิ้มจางๆ
ทว่าก่อนที่จะได้พักหายใจ กำลังเสริมของศัตรูก็ปรากฏมาเพิ่ม
「ขอโทษด้วย โอริเบะซัง! วงศ์วานถูกลูกหลงไปหน่อยนึง!」
「รับทราบ! ทำการเรียกออกมาเรื่อยๆอยู่แล้ว! ไม่ต้องใส่ใจแล้วยิงใส่ศัตรูไปได้เลย」
「โทษที ซาโยะ! ทางนี้วงศ์วานโดนจัดการหมดแล้ว! วงล้อมกำลังจะแตก ช่วยส่งวงศ์วานมาในทันทีด้วย!」
「ตายซะ」
「เดี๋-…..! ทำไมทำตัวแตกต่างกับแค่ชั้นตลอดเลยล่ะ!」
พออันนาที่เป็นเพียงคนเดียวได้รับคำตอบอันแข็งกระด้าง ส่งเสียงประท้วงขึ้นมา โอริเบะก็ส่งเสียงดังซึ่งไม่ค่อยได้เห็นนักออกมา—-
「มันก็แน่อยู่แล้ว ยัยบื้อนี่! คิดว่าเรื่องแบบนี้เกิดมาแล้วกี่ครั้งกัน หล่อนน่ะทำความเสียหายใส่ชั้นมากกว่าศัตรูเสียอีก!」
「อู ก็จู่ๆมาโผล่ในเส้นทางยิง…..」
「ก็เข้าใจความรู้สึกอยู่หรอกแต่โทเคนที่เรียกมาจากอัญเชิญวงศ์วานมันไม่เหมือนกับการ์ด สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างหยาบๆเท่านั้น กรุณาช่วยคำนึงถึงทางนี้ด้วยเถอะ」
「ค่า…..」
อืม….. มีปัญหาในการร่วมมือกันอย่างที่คิด….. ก็นะ ไม่ได้ฝึกซ้อมกันมากนักมันก็ช่วยไม่ได้
ไม่เหมือนกับการ์ดที่สามารถเคลื่อนไหวได้ราวกับเป็นตัวเองด้วยลิงค์ การร่วมมือกันระหว่างผู้คนที่ไม่ถูกเชื่อมต่อกันด้วยลิงค์ จะสามารถพัฒนาขึ้นได้ก็ด้วยแค่การฝึกฝนและประสบการณ์ล้วนๆ
แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าจะพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน มันก็ไม่มีวันชำนาญได้มากไปกว่าลิงค์
ถ้าหากว่ามันมีอุปกรณ์เวทที่สามารถลิงค์มนุษย์เข้าด้วยกันได้ล่ะก็…..
ขณะทำการต่อสู้ก็ได้คิดอะไรแบบนั้น
「มาโร่! พบเป้าหมายแล้ว!」
อาจารย์ที่ใช้ชิกิงามิของโกคิบินส่องราวกับโดรนมาอยู่ซักพัก ในที่สุดก็ทำการแจ้งว่าพบศัตรูที่มีความสามารถอัญเชิญวงศ์วานแล้ว
หากสามารถจัดการตัวที่สามารถอัญเชิญวงศ์วานลงได้ มันก็คงจะง่ายขึ้นมาก!
「รับทราบ! จะไปทางนั้นเดี๋ยวนี้!」
ผมตอบกลับทันที คว้าชิกิงามิขนาดเท่าฝ่ามือ แล้วขึ้นคร่อมหลังของหมาป่ายักษ์—-ยูคิที่แปลงกายอยู่ในร่างหมาป่า
เอลิซ่าโอบผมจากด้านหลัง จับตัวให้เข้าที่ แล้วยูคิก็วิ่งออกไปราวกับสายลม
ทิวทัศน์ไหลผ่านไปด้วยความเร็วสูง
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ขี่ยูคินับตั้งแต่สมัยตอนยังเป็นคูซี่ แต่พูดกันตรงๆ เป็นการขี่ที่ดีกว่าเมื่อก่อนมาก
บางทีอาจจะเพราะร่างกายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ขนเองก็หนาขึ้นด้วยเช่นกัน เบาะตามธรรมชาติมีความนุ่มมากจนร่างกายส่วนล่างของผมจมลมไป สัมผัสเองก็ยอดเยี่ยม
อาจจะเพราะด้วยผลจากบังเหียนทองคำ แต่ถึงแม้จะทำการวิ่งกระเด้งกระดอนไปมา ก็แทบจะไม่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเลย
หากเป็นแบบนี้แล้ว ก้นก็คงไม่เจ็บแม้จะอยู่บนถนนที่ขรุขระมากก็ตาม
ยูคิเองก็ได้ร่างหมาป่ามา นับว่าเป็นการลงทุนที่ดี…..ผมคิดในใจแล้วก็ยิ้ม
เมื่อเข้าใกล้เป้าหมายไปเรื่อยๆ ก็เริ่มถูกโจมตีใส่เป็นระยะๆ หลังจากจัดการเลซเซอร์เดมอน(lesser demon) ที่โจมตีมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายนาที พวกเราก็พบปีศาจหัวแพะที่ทำการเรียกวงศ์วานขจองมันออกมาอยู่เรื่อยๆ
ปีศาจหัวแพะรู้สึกตัวถึงพวกเราที่เข้าใกล้ด้วยความเร็ว หันหน้ามาทางนี้แล้วจากนั้นก็หันหลังกลับพยายามหนี
ถ้าปล่อยให้หนีไปตรงนี้ อะไรๆมันคงจะยุ่งยากแน่ๆ! ผมจึงตัดสินใจใช้ไพ่ตาย
『ลุยกันเลย เอลิซ่า!』
『เยส, มาสเตอร์』
—-My Fair Lady
การ์ดของเอลิซ่าเปล่งแสง และบนมันได้มีสกิลใหม่ปรากฏขึ้น
มันยังไม่ค่อยเสถียรแต่หลังจากยืนยันแล้วว่าสกิลสามารถใช้งานได้ผมก็ยิ้ม แล้วทำการก็อปปี้สกิลทำลายขีดจำกัดของยูคิ
นอกจากนี้ ด้วยเวทมนตร์เลเวลอัพยังทำให้พลังต่อสู้เพิ่มถึงขีดสุด เมื่อพลังต่อสู้ของเอลิซ่าที่เป็นผู้ขี่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ความเร็วของยูคิที่เป็นสัตว์พาหนะก็เพิ่มขึ้นตาม
เมื่อความเร็วของผู้ขี่เพิ่ม สัตว์พาหนะเองก็เพิ่มความเร็วตาม…..มันก็อาจจะดูแปลกไปซักหน่อย แต่สกิลขี่สัตว์มันเป็นสกิลที่นำพลังและความเร็วของผู้ขี่ไปเพิ่มให้กับสัตว์ที่ถูกขี่ เป็นระบบที่ไม่มีอะไรผิดแปลกหากความเร็วของผู้ขี่ที่เพิ่มจะถูกนำไปเป็นผลรวมของความเร็ว
ความเร็วของพวกเราเร็วกว่าแรงค์ C ตามปกติถึง 4 เท่า ทำการอุดช่องว่างระหว่างพวกเราและปีศาจหัวแพะได้อย่างรวดเร็ว แล้วจึงใช้แรงส่งนั้นสะบั้นคอของมัน
หลังจากนั้นก็ทำการสู่ต่อกระโจนไปมาในฐานะกองกลาง เมื่อผ่านไป 30 นาที พวกเราที่ได้จัดการตัวที่อัญเชิญวงศ์วานไปได้แล้วก็ค่อยๆพลิกจำนวนคืนมาและเอาชนะได้ในที่สุด
「ฟู่~ ในที่สุดก็ได้พักซักที」
อันนาพูดขณะจิบชาที่ออดรีย์ชงให้
หลังจากรวบรวมของที่ตกแล้ว พวกเราก็หลบเข้ามาในมาโยยกะเพื่อพัก
「โชคดีที่ไม่มีศัตรูที่มีสกิลต่างมิติล่ะนะ ถึงได้พักกันอย่างปลอดภัยแบบนี้」
โอริเบะพูดขณะกัดคุกกี้ราวกับหนูแฮมสเตอร์
สีหน้านั้นแสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน
「ก็นะ แต่ถ้าก้าวเท้าออกจากมาโยยกะไปแม้แต่ก้าวเดียวก็ต้องสู้แล้วสู้อีกหยั่งกับเป็นแฟนๆมารออยู่เลย」
ศัตรูที่ไม่มีสกิลต่างมิติจะไม่มีผลต่ออะไรต่อมาโยยกะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น
พอศัตรูรู้สึกตัวไปแล้ว พวกมันก็จะรออยู่ตรงนั้นไปตลอดจนกว่าพวกเราจะออกไป
ถ้าหากว่าหลบเข้ามาผิดที่ผิดทางล่ะก็ คงได้โดนล้อมทุกทิศทุกทาง…..ก็มีความเป็นไปได้อยู่
ถึงแม้ว่าจะใช้สกิลซ่อนแอบเพื่อปกปิดร่างและตัวตน พอกลิ่นอายของพวกเราหายไปศัตรูก็คงจะคอยดมกลิ่นอยู่แถวนี้ไปอย่างไม่ลดละ
อันที่จริง…..
「นี่น่ะ บางทีอาจจะดีกว่ารึเปล่าถ้ากลับไปชั้นแรงค์ D แล้วฝึกการประสานงานกัน?」
「อุ…..!」
คำพูดที่ผมพูดไปลอยๆ ทำเอาอันนาเกิดสีหน้ากระตุก พอเห็นแบบนั้นผมก็รู้ตัวว่าทำพลาด
แย่ล่ะสิ เดาว่ามันคงจะเป็นการตำหนิการตัดสินใจของอันนาเข้านิดหน่อย
「…..แต่พอมาคิดดูแล้ว คำนึงจากที่ยังไม่สามารถพิชิตชั้นนี้ได้หลังผ่านไป 3 ชม. ก็คงไม่เหลือเวลาขนาดนั้น」
ผมรีบกลับลำอย่างรวดเร็ว แล้วอาจารย์ก็พูดตาม
「อืม คิดว่าที่ใช้เวลามากขนาดนี้คงจะมีแค่ชั้นนี้แล้วก็ชั้นที่ผนึกสกิลนั่นแหละ….. ก็นะ จริงอยู่ว่าการไปฝึกที่ชั้นแรงค์ D มันคงเป็นอะไรที่เสียเปล่า การไปฝึก 1 หรือ 2 อาทิตย์ที่ชั้นแรงค์ D มันไม่ได้พัฒนาการประสานงานกันมากมายอะไร เพราะงั้นมันจะเร็วกว่าถ้าไปเรียนรู้จากประสบการณ์ลำบากจากชั้นแรงค์ C ที่ยากกว่า」
จากที่อาจารย์พูดมา「…..ต่อให้จะล้มเหลวในการพิชิตเขาวงกตแห่งนี้ สิ่งที่ได้รับมาก็มีมากมายอยู่เช่นกัน」 สามารถรับรู้ได้ถึงความหมายที่แฝงอยู่เช่นนั้น
หรือว่าบางที อาจารย์อาจจะคิดว่าการจะพิชิตเขาวงกตแห่งนี้มันเป็นเรื่องยาก หรือแม้แต่เป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ…..?
มันก็จริงที่ว่ายากจะนึกภาพที่อาจารย์จะสามารถพิชิตชั้นนี้ได้เพียงคนเดียว
ในการสอบเลื่อนระดับมืออาชีพ บางทีอาจจะถูกมอบหมายเขาวงกตที่ไม่มีจำกัดการอัญเชิญ หรืออาจจะสามารถใช้อุปกรณ์เวทสังเคราะห์ได้อย่างเต็มที่ทำให้ผ่านไปได้…..
ไม่ว่าจะอย่างไหน มันก็คงไม่แย่เท่าเขาวงกตแห่งนี้
เพราะงั้นในแง่หนึ่ง ระดับความยากของเขาวงกตแห่งนี้มันมีมากกว่าการสอบเลื่อนระดับเป็น 4 ดาว….. จะมองเป็นแบบนั้นก็ได้
「หรือว่าบางทีเขาวงกตแห่งนี้อาจจะยากมากกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ก็ได้…..? เริ่มสงสัยขึ้นมานิดหน่อย…..ว่าทำไมทางโรงเรียนถึงไม่เก็บเงินอะไรจากพวกเราเลยล่ะนะ」
กำไรต่อรอบของเขาวงกตแห่งนี้ เพียงแค่คาบังเคิลโกเมนและเพชรวิเวิร์นอย่างเดียวก็ปาไป 200 ล้านแล้ว
หากสามารถพิชิต 1 ครั้งใน 1 เดือน จะสามารถทำกำไรได้มากกว่า 2 พันล้านต่อปี ยิ่งถ้าเป็นทีมมืออาชีพเต็มเวลา จะยิ่งสามารถคาดหวังผลกำไรมากกว่านั้นได้อีก
การบำรุงรักษาเขาวงกตโดยปกติเป็นอะไรที่ต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียม แต่ด้วยกำไรขนาดนี้เป็นระดับที่นักผจญภัยจะต้องจ่ายเงินเพื่อสิทธิในการผูกขาด (และสัญญาผู้มัดที่จะพิชิตมัน)ไปแล้วด้วยซ้ำ
ก็ไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับกฏหมายและรายได้ของหน่วยงานการศึกษานักหรอก แต่ถ้าหากโรงเรียนสามารถรับ 10% จากผลกำไรที่ได้จากเขาวงกตเป็นค่าธรรมเนียมการใช้งานล่ะก็ ทางโรงเรียนก็คงอยากได้ได้แน่ๆ
แน่นอนว่าความตั้งใจที่แท้จริงอาจจะเพื่อหลีกเลี่ยงบุคคลภายนอกไม่ให้เข้ามาเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ด้วยแค่นั้นมันไม่สามารถนำมาใช้อธิบายได้
ถ้าจะมีเหตุผลที่มอบหมายการจัดการเขาวงกตที่สร้างกำไรมหาศาลให้นักเรียนมาใช้งานฟรีๆแล้วล่ะก็…..
「ต่อให้ใช้งานได้ฟรี แต่มันก็ยากขนาดทีมมืออาชีพยังไม่ชอบ…..งั้นส์สินะคะ」
「ก็นะ แม้แต่จากมุมมองของมืออาชีพ ก็จริงที่เป็นเขาวงกตที่ไม่อยากจะไปพิชิต ถ้าหากว่าไม่ใช่กึ่งซีเคร็ทล่ะก็ ผมก็ไม่อยากจะมาพิชิตเหมือนกันนั่นแหละ」
อาจารย์หัวเราะเบาๆ แต่…..ยังพูดต่อ
「เพราะแบบนั้นแหละจึงคิดว่าเขาวงกตแห่งนี้จะสามารถเป็นประตูสู่ความสำเร็จได้」
คือสิ่งที่บอกมา
ข้อมูลเพิ่มเติม
กิมุนกามุย / Kim-un-kamuy
จากตำนานของชาวไอนุ, เทพแห่งภูเขาและหมี
https://en.wikipedia.org/wiki/Kim-un-kamuy
MANGA DISCUSSION