เคล็ดมารสยบภพ - ตอนที่ 8 วางกับดัก
เขาเดินกลับไปกลับมาเพื่อใช้ความคิดอยู่นาน ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่า ในเมื่อพลังฝีมือของตนยังสู้กับสัตว์อสูรแบบตรงๆ ไม่ได้ ก็น่าจะลองวางกับดักดู จำได้ว่าในตำราเกี่ยวกับสัตว์อสูรที่อ่านผ่านตาในห้องหนังสือมีกล่าวถึงวิธีการวางกับดักสำหรับจับสัตว์อสูรเอาไว้ด้วย และถึงแม่ว่าหลังจากสัตว์อสูรมาติดกับดักแล้วตนจะยังไม่มีกำลังมากพอจะปราบพวกมันลงได้ แต่ถ้าหากจับพวกมันยัดใส่ลงไปในแหวนมิติที่เวลาหยุดนิ่งได้แล้ว ตอนที่นำร่างของพวกมันออกมาจากแหวนใหม่ๆ พวกมันก็น่าจะอยู่ในสภาพหลับใหลเหมือนกับจิ้งจอกมายาบรรพกาล และเมื่อถึงตอนนั้น ตนก็แค่ต้องรีบล่ามพวกมันเอาไว้ด้วยปลอกคอและโซ่สะกดพลังปราณแบบที่จอมมารรุ่นก่อนใช้ในการล่ามจิ้งจอกมายาบรรพกาลก็พอ คิดๆ แล้วก็พบว่าการจับสัตว์อสูรครั้งแรกของตนไม่น่าจะยากเย็นอะไรนัก เขาจึงยิ้มออกมาอย่างหมายมาดและรีบไปรื้อค้นอุปกรณ์สำหรับจัดสร้างกับดักในห้องเก็บของ
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินเสวี่ยก็เดินออกจากแนวขอบของค่ายกลที่ถูกจัดวางเอาไว้เพื่อปกป้องตำหนักมารเป็นครั้งแรก ทันทีที่ก้าวออกมาพ้นแนวของค่ายกลเขาก็พบเข้ากับป่าอันมืดทึบแทบจะในทันที พื้นดินโดยรอบเต็มไปด้วยรอยเท้าของสัตว์อสูรหลากหลายชนิดย่ำลงทับซ้อนกันจนไม่อาจแยกแยะสายพันธุ์ใดๆ ได้ ราวกับว่าแนวป่ารอบๆ ค่ายกลแห่งนี้เป็นเส้นทางเดินประจำของพวกมัน ความหนาทึบของต้นไม้ทำให้ไม่อาจจะมองเห็นได้ในระยะไกลเกินห้าเมตร หัวใจของเฉินเสวี่ยจึงเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นระคนเสียวสันหลัง เพราะรู้ว่าตนอาจต้องเผชิญหน้าเข้ากับสัตว์อสูรตัวใดตัวหนึ่งได้ทุกเมื่อ
เขารีบกวาดตามองหารอยเท้าที่ดูเหมือนรอยเท้าของมนุษย์ไปรอบๆ โดยพยายามจะไม่เดินออกไปไกลจากแนวค่ายกลมากนัก เมื่อเห็นรอยที่น่าจะใช่ที่บริเวณใดก็จะรีบติดตั้งกับดักเอาไว้ที่บริเวณเหล่านั้น เขาใช้เวลาทั้งวันกว่าจะเดินสำรวจและติดตั้งกับดักได้สิบแห่ง ในเมื่อไม่อาจรับรองได้ว่าสัตว์ที่เข้ามาติดกับดักจะเป็นสัตว์อสูรสายพันธุ์ไหนและมีระดับชั้นใด จึงจำเป็นต้องติดตั้งกับดักเอาไว้ในปริมาณมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ไว้ก่อน ระหว่างการติดตั้งกับดักวันนี้เขาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรอยู่สองครั้ง แต่ทั้งสองครั้งเขารีบกระโดดกลับเข้าไปในแนวค่ายกลและหลบรอดจากการถูกจู่โจมมาได้อย่างหวุดหวิด
กับดักที่เขาติดตั้งเอาไว้เหล่านี้แข็งแรงมาก ชนิดที่ว่าแม้แต่สัตว์อสูรระดับสิบหรือสิบเอ็ดมาติดกับ ก็ยังไม่อาจทลายกับดักออกไปได้ด้วยตนเอง เฉินเสวี่ยจึงค่อนข้างวางใจ
เขากลับไปฝึกเคล็ดวิชาธาตุน้ำที่ใช้สำหรับการต่อสู้ในตำหนักมารต่ออีกสามวัน จึงค่อยกลับมาดูผลงานของกับดักครั้งแรก
เขาพบว่ามีกับดักเพียงสี่จากสิบแห่งที่มีสัตว์เข้ามาติดกับ และจากสี่แห่งที่มีสัตว์มาติดนั้น สามแห่งเป็นเพียงสัตว์ธรรมดา อีกแห่งเป็นสัตว์อสูรหมูป่าขั้นสองซึ่งยังไม่สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์สำหรับเขา
ไม่กี่วันหลังจากนั้นเฉินเสวี่ยก็กลายร่างเป็นหญิงอีกครั้ง นางถอนหายใจ คราวนี้นางไม่ได้หยิบชุดสตรีมาสวมใส่แบบคราวก่อน แต่ไปค้นหาชุดเด็กรับใช้ชายสีน้ำตาลมอซอมาสวมแทน เพราะเพิ่งจะได้ประสบการณ์ไปว่า การทำตัวเป็นสตรีที่ดูโดดเด่นเกินไปหาใช่เรื่องฉลาดนัก คราวก่อนตนเกือบจะถูกพวกคนถ่อยจับตัวไปซะแล้ว ออกไปคราวนี้คิดว่าตนน่าจะเดินทางไปถึงเขตเมืองได้แล้ว ขอเพียงแต่งตัวให้ดูสกปรกรุ่มร่ามเพื่อปกปิดตัวตนเข้าไว้ก็น่าจะลดความยุ่งยากระหว่างเดินทางลงไปได้บ้าง รอไว้ถึงเมืองหลวงค่อยกลับมาแต่งตัวดีๆ เพื่อออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับพวกศัตรูก็แล้วกัน
การเดินทางรอบนี้เฉินเสวี่ยยังคงใช้วิธีเดิม คือทุกครั้งที่เห็นท่าไม่ดี ก็จะรีบผลุบหายเข้ามาหลบในแหวนมิติ เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยจึงค่อยออกไปใหม่ ทำเช่นนี้อยู่สิบกว่าวันในที่สุดก็เดินทางมาจนถึงเมืองหลวงได้ในที่สุด ตอนนี้สภาพของนางสกปรกมอมแมมราวกับขอทานเด็ก เดินไปทางไหนก็มีแต่คนโบกมือไล่ให้ไปไกลๆ ด้วยความรังเกียจ
สถานที่แรกที่นางมุ่งหน้าไปทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็คือจวนตระกูลเฉิน เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูจวนก็เห็นว่าที่จวนยังมีคนเข้าๆ ออกๆ พลุกพล่านเหมือนยามปกติ เพียงแต่เด็กรับใช้และยามเฝ้าประตูจวนล้วนถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด นางไม่รู้จักใครสักคน ซุ่มแอบดูอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ได้ความอะไร สุดท้ายก็จำต้องหาวิธีอื่น
นางหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ครู่หนึ่งก็มองเห็นขอทานน้อยคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่ตนเป็นนายน้อยตระกูลเฉินยังเคยโยนเศษเงินให้ขอทานที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนคนนี้เป็นครั้งคราว นางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ขอทานน้อยคนนั้นแล้วส่งยิ้มหวานให้เขา แต่แทนที่อีกฝ่ายจะยิ้มตอบกลับถลึงตาจ้องกลับมาแล้วตะคอกใส่นางแบบไม่ไว้ไมตรีแม่แต่นิดเดียว
“เพ้ย! เจ้าเด็กใหม่นี่คิดจะมาแย่งที่ทำกินของบิดารึ ตรงนี้บิดาจองมานานแล้ว เจ้ารีบไปให้พ้นๆ หน้าบิดาซะก่อนที่บิดาจะฟาดหัวเจ้าจนแบะ” เขายืดอกวางท่าข่มขวัญตามแบบที่เคยทำเป็นประจำยามที่มีขอทานคนอื่นคิดจะมาแย่งที่ทำเลทองแห่งนี้ของตน ถึงตัวเขาจะเล็กกว่าขอทานรุ่นใหญ่หลายคน แต่ด้วยว่าสมัยก่อนจะมาเป็นขอทานเคยได้ร่ำเรียนวรยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ มาบ้าง เมื่อตกต่ำจนกลายมาเป็นขอทานจึงสามารถแย่งชิงพื้นที่หน้าจวนตระกูลเฉินแห่งนี้มาจากขอทานที่เคยอยู่มาก่อนตนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แม้ขอทานน้อยคนนี้มาจะนั่งขอทานอยู่ที่นี่เป็นประจำมานานหลายปีและคุ้นหน้าคุ้นตาคนในจวนตระกูลเฉินตั้งแต่เบื้องบนยันเบื้องล่างแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังคงจำเฉินเสวี่ยไม่ได้ เพราะตอนนี้รูปร่างหน้าตาและความสูงของเฉินเสวี่ยตอนเป็นหญิงแตกต่างจากตอนเป็นชายมากราวกับเป็นคนละคนกัน
“เอ่อ พี่ชาย ได้โปรดใจเย็นๆ ก่อน ข้าไม่ได้คิดจะมาแย่งที่ทำกินของท่านแต่อย่างใด เพียงแค่อยากจะถามอะไรท่านสักหน่อยจะได้หรือไม่” เฉินเสวี่ยรีบละล่ำละลักถามกลับไป
“อ้อ จะถามอะไรก็รีบๆ ถาม ถามเสร็จแล้วก็รีบๆ ก็ไสหัวไปให้พ้นๆ หน้าข้าซะ” เขาเปลี่ยนจากตะคอกมาพูดด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญแทน
“คือ ข้าเคยมีญาติห่างๆ ทำงานเป็นยามเฝ้าประตูที่จวนแห่งนี้ ตอนนี้ชีวิตข้าตกต่ำมากจนต้องกลายมาเป็นขอทาน กำลังคิดว่าจะมาขอความช่วยเหลือจากท่านลุงผู้นี้สักหน่อย แต่พอมาถึงกลับไม่เห็นเขาเลย ไม่ทราบว่าพี่ชายพอจะทราบหรือไม่ว่ายามที่เฝ้าประตูจวนทำไมจึงเปลี่ยนคนไปเสียแล้ว”
ขอทานน้อยได้ยินดังนั้นก็กวาดตามองเฉินเสวี่ยอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะ “เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงนี่นา หน้าตาก็ไม่เลว ต่อให้ตกอับแค่ไหนก็ไม่เห็นจะต้องมาทนลำบากเป็นขอทานเลย ข้าขอแนะว่าให้ไปทำงานในหอนางโลมยังจะสบายเสียกว่า” พูดเสร็จเขาก็หันไปมองที่ประตูจวนแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พูดก็พูดเถอะ ขนาดเกิดเป็นคุณหนูคุณชายในตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจอย่างตระกูลเฉินยังไม่อาจมีชีวิตที่ยืนยาวได้เลย พวกเราคนยากคนจน ขอเพียงได้มีชีวิตอยู่เพิ่มขึ้นอีกวันก็ดีถมไปแล้ว”
“หา! คุณหนูคุณชายตระกูลเฉินตายแล้วรึ! ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สองเดือนก่อนข้ายังได้ข่าวว่าพวกเขายังอยู่ดีอยู่เลยนี่นา” เฉินเสวี่ยแกล้งทำท่าตกใจ
“เจ้าคงเพิ่งมาถึงเมืองหลวงสินะถึงไม่รู้ข่าวใหญ่ขนาดนี้ เมื่อเดือนที่แล้วท่านประมุขตระกูลเฉินขันอาสาฮ่องเต้ว่าจะพาฮูหยินและบุตรธิดาทั้งสองไปสำรวจซากโบราณสถานอะไรสักอย่างทางตอนเหนือโน่น ใครจะรู้ว่าไปได้แต่กลับไม่ได้ ทั้งครอบครัวประสบอุบัติเหตุตกตายในซากโบราณสถานแห่งนั้นกันทั้งหมด ช่างเคราะห์ร้ายเสียจริงๆ เฮ้อ… เขาถึงว่าคนดีๆ มักจะอายุไม่ค่อยยืน” ขอทานน้อยทำท่าถอนหายใจเลียนแบบผู้ใหญ่ แล้วพูดต่อ
“ตอนนี้พี่ชายใหญ่ของท่านประมุขคนก่อนก็เลยขึ้นมาเป็นประมุขตระกูลคนใหม่แทน ได้ยินมาว่าหากมีข้ารับใช้คนใดในจวนไม่ให้ความเคารพเขา ก็จะถูกลงโทษและไล่ออกไปทันที ตอนนี้ข้ารับใช้ส่วนใหญ่ก็เลยถูกเปลี่ยนเป็นคนใหม่มาทำงานแทนแทบจะทั้งหมดแล้ว ดังนั้นท่านลุงห่างๆ ของเจ้าก็คงจะโดนไล่ออกไปแล้วล่ะ.. นี่ ข้าจะบอกอะไรให้นะ” น้ำเสียงของเขาเบาลงจนแทบจะเปลี่ยนเป็นกระซิบกระซาบ “ครอบครัวของท่านประมุขคนใหม่กับพวกคนรับของเขาเหล่านี้หาใช่ตัวดีอันใดไม่ ย้ายเข้ามาอยู่ในจวนตั้งหลายวันแล้วแต่พวกมันยังไม่เคยให้เงินข้าแม้แต่อีแปะเดียว เจ้าว่าพวกมันใจดำอำมหิตหรือไม่เล่า….”
เฉินเสวี่ยที่ได้ฟังคำกระซิบนั้นเกือบจะหลุดขำออกมาแล้ว แต่เมื่อได้ยินขอทานน้อยพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิม นางก็ชะงักไป
“ข้ายังเคยเห็นพวกมันแอบขนศพไปโยนทิ้งที่ป่าช้านอกเมืองตั้งหลายครั้ง เจ้าก็อย่าไปคาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลืออันใดให้เหนื่อยเปล่าเลย ไม่รู้ป่านนี้ท่านลุงของเจ้าจะกลายเป็นศพไร้ญาติไปแล้วหรือยัง”
เฉินเสวี่ยได้ฟังดังนั้นก็กำหมัดแน่นด้วยความแค้นใจ เจ้าคนชั่วที่ร่วมมือกับฮ่องเต้ในการกำจัดครอบครัวของนางช่างมีชีวิตที่อยู่ดีมีสุขเสียจริง บัดนี้ได้ขึ้นเป็นประมุขตระกูลคนใหม่ และย้ายก้นเข้ามาอยู่ในจวนของนางอย่างสบายอกสบายใจยังไม่พอ ถึงกับฆ่าผู้คนที่ภักดีต่อครอบครัวนางไปจนหมดสิ้น รอให้นางแข็งแกร่งกว่านี้สักหน่อยเถอะ นางจะกลับมาจัดการพวกมันให้สาสมเลยทีเดียว
เฉินเสวี่ยล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหยิบเม็ดถั่วทองคำหยิบหนึ่งออกมาโปรยลงไปในขันของขอทานน้อย ระหว่างที่ขอทานน้อยยังคงตื่นตะลึงเบิกตาโพลงจ้องมองเม็ดทองคำที่กลิ้งขลุกๆ อยู่ในขันสกปรกของมันอยู่นั้น เฉินเสวี่ยก็ตบไหล่ขอทานน้อยทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน
“ขอบใจสำหรับข้อมูลของเจ้า หากเจ้าอยากได้ทองมากกว่านี้ จากนี้ไปก็จงไปรวบรวมเพื่อนๆ ขอทานมาคอยจับตาดูครอบครัวของประมุขตระกูลเฉินคนใหม่เอาไว้ให้ดีๆ และคอยดูด้วยว่าแต่ละวันมีใครเข้าออกตระกูลเฉินบ้าง ทุกๆ เดือน เจ้ามารายงานข้าครั้งหนึ่งก็จะได้ทองเช่นนี้ครั้งหนึ่ง ข้าไปล่ะ”
“อ๊ะ ดะ..เดี๋ยวสิขอรับ” ขอทานน้อยรีบกวาดทองคำในขันเก็บใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วหันมาเรียกเฉินเสวี่ยที่กำลังเดินจากไป กิริยาท่าทางของขอทานน้อยเปลี่ยนมาเป็นเคารพนบนอบเฉินเสวี่ยขึ้นมาในทันที “เวลาจะรายงาน ข้าน้อยจะไปหาตัวท่านได้ที่ไหนหรือขอรับ แล้ว…ข้าน้อยควรจะเรียกท่านว่าอะไรดีขอรับ”
เฉินเสวี่ยชะงักเท้า ยืนคิดครู่หนึ่งก็หันกลับมาตอบเขา “เรียกข้าว่าแม่นางเฮยก็แล้วกัน ทุกๆ วันจันทร์ดับในแต่ละเดือน ให้เจ้าไปพบข้าเพื่อรายงานที่ศาลเทพธิดาฉางเอ๋อที่อยู่นอกประตูเมืองฝั่งตะวันออก หากไม่เจอข้า เจ้าก็รอจนอยู่ที่นั่นจนถึงยามจื่อ (23.00-1.00น.) หากเลยยามจื่อไปแล้วข้ายังไม่มาเจ้าค่อยกลับได้ ทุกครั้งเจ้าต้องไปด้วยตนเองเท่านั้น ห้ามให้คนอื่นมาแทน และห้ามพาใครติดตามไปด้วยเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่ อ้อ แล้วก็อย่าโง่เอาทองออกมาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนผิดสังเกตเล่า ประเดี๋ยวจะอายุไม่ยืน”
“ได้ขอรับแม่นางเฮย ถึงข้าน้อยจะเป็นขอทานแต่ข้าน้อยก็ไม่ใช่คนปัญญาทึบนะขอรับ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าน้อยจะตั้งใจทำงานอย่างดีเลยขอรับ” เขารีบโค้งให้เฉินเสวี่ยปะหลกๆ ฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
หลังจากเฉินเสวี่ยผละมาจากขอทานน้อย นางก็กลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักมารในแหวนมิติ กลายมาเป็นคุณหนูที่แต่งตัวงดงามสะอาดสะอ้านอีกครั้ง เสร็จแล้วจึงค่อยกลับออกไปยังโลกภายนอก คราวนี้นางก็จัดการไปหาซื้อบ้านขนาดกลาง เอาไว้พักอาศัยบริเวณชานเมืองหลังหนึ่งและซื้อตัวบ่าวรับใช้ที่เป็นเด็กสาวหน้าตาหมดจดจากนายหน้าจัดหาบ่าวมาช่วยทำงานบ้านด้วยอีกหนึ่งคน ชื่อว่าหรูอี้
ปีนี้หรูอี้มีอายุสิบห้าปี แม้จะเพิ่งถึงวัยปักปิ่นแต่ก็มีมือไม้คล่องแคล่ว จึงสามารถทำงานได้อย่างเรียบร้อย อีกทั้งยังรู้มารยาทเป็นอย่างดี
ถึงแม้ว่าเฉินเสวี่ยจะกลายเป็นคนที่ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ อีกเลย นับตั้งแต่ที่ครอบครัวของตนโดนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นญาติสนิททรยศหักหลังและลวงไปฆ่า แต่การที่เด็กสาวอายุเพียงสิบสี่ปีเช่นตนจะออกไปไหนมาไหนด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีญาติผู้ใหญ่หรือบ่าวรับใช้คอยติดตามดูแล ก็ดูจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดในสายตาผู้อื่นจนเกินไปสักหน่อย ดังนั้นเพื่อไม่ให้ถูกผู้คนสงสัยจึงจำเป็นต้องหาสาวใช้มาคอยติดตามเช่นนี้
โชคดีที่ได้สาวใช้เป็นคนหัวไว และไม่พูดมากถามมาก เฉินเสวี่ยเพียงโกหกไปว่า ตนชื่อเฮยเยว่เป็นคุณหนูจากครอบครัวเศรษฐีเล็กๆ ในชนบท บิดามารดาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจึงเก็บข้าวของเดินทางกับป้าสะใภ้มาตามหาท่านตาที่เมืองหลวง หวังจะย้ายมาอยู่กับท่านตา แต่ระหว่างทางป้าสะใภ้กลับหอบเงินทองและสมบัติทั้งหมดของนางหนีไป และพอนางมาถึงเมืองหลวงก็พบว่าท่านตาได้เสียชีวิตไปแล้ว และญาติๆ ที่นี่ก็ไม่มีใครต้อนรับนางสักคน นางจึงนำเงินที่แอบซ่อนเอาไว้ก้อนสุดท้ายมาซื้อบ้านและจ้างบ่าวรับใช้อย่างหรูอี้ให้มาอยู่เป็นเพื่อน
ดูเหมือนว่าหรูอี้จะเชื่อคำโกหกของนาง และสงสารนางมาก จึงไม่ค่อยซักถามอะไรเพราะกลัวนางจะสะเทือนใจ
ทุกวัน เฉินเสวี่ยจะชวนหรูอี้ออกไปนั่งตามโรงน้ำชาเพื่อคอยสืบข่าวเกี่ยวกับศัตรูทั้งหมดของตน แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่ได้ข่าวที่มีสาระอะไรมากมายนักจนนางชักจะท้อใจ แต่ก็มีข่าวหนึ่งที่นางคิดว่ามีประโยชน์ไม่เลว นั่นก็คือ ในอีกครึ่งปีข้างหน้า ตำหนักบุปผาจะทำการรับสมัครคัดเลือกเด็กสาวอายุระหว่าง 15-16 ปีเข้าไปเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของตำหนักบุปผา
ปกติตำหนักบุปผาจะรับสมัครศิษย์เพียงปีเว้นปีเท่านั้น และจะรับเฉพาะศิษย์ที่เป็นสตรี นอกจากผู้สมัครจะต้องมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์สายธาตุไม้หรือธาตุน้ำแล้ว ยังจะต้องมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามอีกด้วยจึงจะสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผาได้ แต่ไหนแต่ไรมาภายในอาณาเขตเทือกเขาหมื่นผกาอันเป็นที่ตั้งของตำหนักบุปผาก็ไม่เคยมีการอนุญาตให้คนนอกเหยียบย่างเข้าไปแม้แต่คนเดียว นี่จึงนับเป็นโอกาสดีที่เฉินเสวี่ยจะได้แฝงตัวเข้าไปสืบข่าวภายในตำหนักบุปผา ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะมีอายุแค่สิบสี่ปีกว่าๆ ยังไม่เข้าเกณฑ์ในการจะไปสมัครเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผา แต่เนื่องจากเวลาของห้วงมิติในแหวนเดินช้ากว่าภายนอกถึงสองเท่า ขอเพียงตลอดครึ่งปีนี้นางเข้าไปใช้ชีวิตในแหวนมิติ เมื่อครบกำหนดครึ่งปีในโลกภายนอก นางจะได้ผ่านช่วงเวลาไปแล้วถึงหนึ่งปีในแหวนมิติและมีอายุเข้าเกณฑ์ในการสมัครได้พอดี เรื่องนี้จึงไม่นับเป็นปัญหาแต่อย่างใด
หลังจากจัดการเรื่องในบ้านหลังใหม่และมอบหมายงานที่ต้องทำให้กับหรูอี้ อีกทั้งยังให้หรูอี้ปิดบังใบหน้าไปคอยรับข่าวสารที่ขอทานน้อยจะนำมารายงานที่ศาลเทพธิดาฉางเอ๋อนอกเมืองทุกๆ วันแรมสิบห้าค่ำแทนตนเรียบร้อยแล้ว เฉินเสวี่ยก็บอกกับหรูอี้ว่าตนจะทำการกักตัวฝึกวรยุทธ์อยู่แต่ในห้องเป็นเวลาครึ่งปีเพื่อเตรียมตัวไปสมัครเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผา ห้ามให้ใครเข้ามารบกวนเป็นอันขาด ตอนแรกหรูอี้ก็มีท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คิดว่าคุณหนูของตนจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง แต่พอได้ยินว่าเฉินเสวี่ยมีความคิดที่จะไปสมัครเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผา นางก็ค่อนข้างดีใจ เพราะตำหนักบุปผาเป็นค่ายพรรคที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของแคว้นนี้ เด็กสาวผู้ฝึกยุทธ์กว่าครึ่งของแคว้นนี้ล้วนใฝ่ฝันอยากจะเข้าไปเป็นศิษย์ของตำหนักบุปผาด้วยกันทั้งนั้น
หลังจากสั่งความหรูอี้เรียบร้อย เฉินเสวี่ยก็ปิดประตูลงกลอนแล้วผลุบหายเข้าไปในแหวนมิติ วันรุ่งขึ้นในแหวนมิติ เขาก็กลับไปเป็นชาย และสิ่งแรกที่ทำก็คือเดินออกไปตรวจตรากับดักที่เขาได้วางเอาไว้ว่ามีสัตว์อสูรตนใดมาติดกับบ้างหรือไม่
กับดักหลายอันมีสัตว์มาติดอยู่รวมกันหลายตัว แต่ส่วนใหญ่หลังจากที่ถูกขังอยู่ในกับดักให้อดอาหารเสียหลายวัน พวกมันก็กินกันเองจนเหลือเพียงตัวที่แข็งแกร่งที่สุดรอดอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น เฉินเสวี่ยเดินดูมาถึงกับดักอันที่แปดก็ยังไม่เห็นมีสัตว์อสูรที่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์มาติดกับเลยสักตนเดียว ขณะที่เขากำลังจะถอดใจอยู่แล้วนั้น เขาก็พบว่าในกับดักอันที่เก้ามีสัตว์อสูรในร่างมนุษย์เพศหญิงนอนจมกองเลือดอยู่ข้างๆ สัตว์อสูรตะขาบยักษ์ ดูแล้วนางน่าจะยังไม่ตายเพราะบริเวณทรวงอกของนางยังสะท้อนขึ้นลงอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าสัตว์อสูรระดับ 10 เช่นนางจะมาพลาดท่าเสียทีให้กับสัตว์อสูรคู่ปรับอย่างตะขาบยักษ์ระดับ 9 เสียได้ หากเขามาพบช้าไปอีกแค่วันเดียวนางคงจะไม่รอดแล้ว
เฉินเสวี่ยรีบทำการเก็บร่างของนางเข้าไปไว้ในแหวนมิติแล้วเดินต่อไปสำรวจกับดักอันสุดท้ายอย่างไม่รีบร้อน และเขาก็พบว่าในกับดักอันสุดท้ายนี้ก็มีสัตว์อสูรที่กลายร่างเป็นมนุษย์ติดกับดักอยู่ด้วยเช่นกัน แต่สัตว์อสูรตนนี้เป็นเพศชายรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุร้ายมาก มันจ้องมองมาที่เฉินเสวี่ยราวกับพร้อมที่จะกระโจนเข้ามาฉีกร่างของเขาได้ทุกเมื่อ เฉินเสวี่ยรู้สึกหวาดกลัวมันไม่น้อย เพราะรู้ว่าหากต้องเผชิญหน้ากันโดยตรง ตนในขณะนี้ไม่มีทางเอาชนะสัตว์อสูรตนนี้ไปได้เลย เขากวาดตามองร่างของสัตว์อสูรตนนี้อย่างละเอียด คาดเดาว่ามันน่าจะเป็นสัตว์อสูรจำพวกหมาป่า เพราะดูจากกรงเล็บแหลมคมสีดำและใบหูเหมือนหมาป่าที่มีขนปุกปุยสีเทาอ่อน เขาไม่แน่ใจว่าสัตว์อสูรตนนี้เป็นสัตว์อสูรระดับใดแต่ดูแล้วน่าจะเป็นระดับที่สูงกว่าระดับ 10 อย่างแน่นอน ตอนแรกเขาคิดจะปล่อยให้มันอดตายอยู่ในกับดักนี้ไปเสีย เพราะเขาเองก็ไม่อยากเสี่ยงปล่อยสัตว์อสูรที่กำลังโกรธแค้นสุดขีดตนนี้ให้ออกมาฆ่าตนเอง แต่พอคิดอีกที หากเขาเก็บมันเอาไว้ในแหวนมิติ รอจนฝึกได้ถึงขั้นที่สามารถสร้างรอยโลหิตวารีสะกดวิญญาณของมันได้ เขาก็จะมีทาสที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตน เขาจึงจัดการเก็บสัตว์อสูรร่างใหญ่โตตนนั้นเข้าไปไว้ในแหวนมิติของตนโดยไม่รอช้า