เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 357 (I) เข้าสู่อาณาจักรเก่าดาบ
Sign in Buddha’s palm 357 (I) เข้าสู่อาณาจักรเก่าดาบ
“ว่ามาเถอะ”
ซูฉินเหลือบมองสองพี่น้องซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่กล่าวออกอย่างอ่อนโยน
ก่อนที่ซูฉินจะเดินทางไปยังวัดเส้าหลินเขามีชีวิตที่ดีภายในตระกูลซูและไม่มีเงื่อนปมกลอบายภายในครอบครัวเหมือนลูกหลานตระกูลใหญ่แห่งอื่นๆ
“คืออย่างนี้” ซูชื่อหมินพูดออกมาในทันที “เฉิงฮ่าวกับเฉิงยู่อยากจะให้เจ้าชี้แนะไอ้เจ้าพวกเด็กทโมนน้อยเหล่านั้นหน่อยดูเสียหน่อยว่าผู้ใดมีหน่วยก้านใช้ได้…”
ในการฝึกฝนวิทยายุทธ การชี้แนะแนวทางนั้นสําคัญมาก
มันเกี่ยวข้องไปถึงขนาดเป็นตัวชี้วัดว่าจอมยุทธจะสามารถเดินในสายนี้ไปได้ไกลแค่ไหนทีเดียวเชียว
ตอนนี้ภายในวังหลวงมียอดฝีมือนับไม่ถ้วน แม้แต่ต่านานยุทธขั้นสูงสุดก็ไม่ได้ขาด ด้วยสถานะของตระกูลซู ตราบใดที่เอ่ยปากออกไปประโยคเดียว เกรงว่ากลุ่มตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะรีบเรียงแถวดาหน้ากันเข้ามาต้องการจะชี้แนะให้กับลูกหลานตระกูลซู…แต่ไม่ว่าจะเป็นซูชื่อหมินซูเฉิงฮ่าวหรือซูเฉิงยู่ล้วนคาดหวังจะได้รับคําแนะนําจากซูฉิน
เหตุผลส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะซูฉินนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
แม้แต่ตัวตนระดับสูงอย่างเซียนเทพปฐพีก็ยังสังหารทิ้งได้ เมื่อเทียบกับซูฉินแล้ว ตํานานยุทธขั้นสูงสุดเหล่านั้นก็ไม่นับเป็นตัวอะไร
“ชีแนะ?”
ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งเหม่อมองออกไปนอกพระราชวังตะวันออก
มีเด็กนับสิบคนยืนรออยู่ที่นั่นอย่างใจจดใจจ่อ ตราบใดที่ซูฉินเห็นพ้อง คงจะมีใครบางคนที่สามารถเข้าไปภายในพระราชวังตะวันออก แต่ถ้าซูฉินปฏิเสธ เด็กเหล่านี้ก็คงไม่สามารถก้าวเข้าไปหลังรั้วประตูพระราชวังตะวันออกได้
“ในเมื่อเป็นทายาทของพี่ใหญ่และพี่รอง ข้าก็ควรจะให้คําแนะนําบ้าง”
ฉันไม่ปฏิเสธ แต่แสดงท่าที่เห็นด้วยออกมา
ลูกของสองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ก็เป็นหลานของซูฉิน แค่การชี้แนะเล็กๆน้อยๆ จากซูฉินแน่นอนว่าไม่มีปัญหาอะไร เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเด็กเหล่านี้กับซูฉินห่างกันเพียงแค่ไม่มาก หากว่าห่างไกลเกินกว่านี้ ซูฉินก็ขี้เกียจเกินว่าจะใส่ใจ
ภายในวังหลวงมีคัมภีร์จํานวนนับไม่ถ้วนและสมุนไพรโอสถจํานวนมากแจกจ่ายออกไปทุกวันเพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการฝึกยุทธให้แก่ตระกูลซ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่บนโลกเสียอีก หากยังต้อง การคําแนะนําของซูฉินเพื่อให้พัฒนาต่อไปได้ ก็ควรละทิ้งการบ่มเพาะวิทยายุทธและนั่งสบายๆ เป็นท่านอ๋องอยู่ในเมืองห่างไกลสักเมืองยังจะดีกว่า
แน่นอนว่าซูฉินก็ยังต้องให้คําแนะนําแก่ลูกหลานตระกูลซูในสามชั่วอายุคนอยู่ดี
ส่วนที่เกินจากสามชั่วอายุคน……ตระกูลซูจะจัดสรรทรัพยากรการบ่มเพาะและสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาเอง ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะก้าวเดินไปต่อในเส้นทางสายนี้ได้หรือไม่
“ขอบคุณน้องเล็ก” ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง รีบกล่าวขอบคุณซูฉินทันที
“ไม่เป็นไรหรอก”
“แค่เรื่องเล็กน้อย”
ซูฉินโบกมือ ไม่พูดอะไรต่อไปอีก
ไม่นานนัก
กลุ่มเด็กอายุราวสิบขวบปีก็ได้เดินเข้ามา
เด็กเหล่านี้ คนที่โตที่สุดอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ส่วนน้องเล็กสุดอายุราวเจ็ดแปดขวบ เท่านั้น ในตอนนี้สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น…แม้จะเป็นลูกหลานตระกูลซู ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเคยเห็นซูฉิน โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ของตระกูลซูที่เพิ่งเกิดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
ตอนนี้พอได้รู้ว่าจะได้พบกับตัวตนศักดิ์สิทธิ์ผู้อุปถัมภ์อาณาจักรถัง เป็นใครจะไม่คาดหวัง? ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้น?
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”
เมื่อเห็นเด็กเหล่านี้คุกเข่าลงกับพื้น ซูฉินก็กล่าวออกอย่างสบายๆ
“ขอรับ” กลุ่มเด็กมากกว่าสิบคนลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง พวกเขาก้มหน้าลงไม่กล้ามองมาที่ซูเฉิน
“พวกเจ้าชอบวิทยายุทธหรือไม่?” ซูฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ชอบยิ่ง”
“ข้าก็เหมือนกัน”
“ข้าอยากเป็นจอมดาบเหมือนองค์หญิงหลีหว่าน”
เด็กหลายคนเรียกความกล้าก่อนที่จะพูดออกมา
“แค่ชอบวิทยายุทธยังไม่พอ” ซูฉินสายศีรษะ ผู้คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ก็ล้วนชอบวิทยายุทธกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถทนต่อความเหงาเปล่าเปลี่ยวหลังจากก้าวเดินในเส้นทางการฝึกยุทธเส้นทางนี้ได้?
โดยเฉพาะลูกหลานตระกูลซู ตั้งแต่เกิดมาพวกเขาก็กลายเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ แม้จะไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธก็มีชีวิตที่ดีได้ แล้วเจ้าจะอยากเรียนวิทยายุทธกันไปทําไม?
และถึงแม้ว่าจะเรียนรู้วิทยายุทธไปแล้ว ในท้ายที่สุดก็อาจจะไม่ประสบความสําเร็จ ด้วยการฟื้นคืนของกระแสปราณฉี แม้ว่าจะทําให้ฝึกฝนวิทยายุทธง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งได้
“พวกเจ้าลองมองไปทางนั้น”
ซุฉินเงยหน้าขึ้น จิตของเขาเคลื่อนไหวสั่งการ ทันใดนั้นเสาหินก็พังทลายลง กลายเป็นรูปปั้น ของบุรุษผู้หนึ่งที่มีใบหน้าเลือนราง
รูปปั้นของบุรุษผู้นี้ไพล่มือไปด้านหลัง แหงนมองท้องฟ้า ไม่ต่างไปจากรูปปั้นธรรมดา แต่ยิ่งจ้องมองก็ยิ่งเหมือนว่าจิตใจค่อยๆ ถูกดึงออกจากร่าง
แม้แต่ซูชื่อหมินและสองพี่น้องซูเฉิงฮ่าวซูเฉิงยู่ ก็ยังรู้สึกว่าจิตใจของพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงเมื่อจ้องมองรูปปั้นนี้เป็นเวลานานราวกับรูปปั้นนี้มีแรงดึงดูดมหาศาล
“จากนี้ไปอีกหนึ่งปี พวกเจ้าทุกคนต้องมาดูรูปปั้นนี้อยู่ตลอด”
“อีกหนึ่งปีหลังจากนี้ ใครก็ตามที่สามารถเข้าใจบางสิ่งจากรูปปั้นนี้ได้ให้มาหาข้าอีกครั้ง”
ซูฉินกล่าวออกเบาๆ
รูปปั้นนี้คือสิ่งที่ซูฉินรวบรวมความรู้ของเขาบางส่วนเอาไว้ภายในจิตวิญญาณแรกกําเนิดใส่ เข้าไปในรูปปั้น มีทักษะเฉพาะทางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมีดดาบอาวุธระยะไกลหมัดมวย และท่าเท้า ล้วนอยู่ภายในรูปปั้นนี้ทั้งหมด
ในอีกนัยหนึ่ง รูปปั้นนี้คือแนวทางการฝึกฝน แม้แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดก็ต้องได้รับบางสิ่งหากได้มาจ้องมองดูรูปปั้นอันนี้
หลังจากที่พูดคุยกับซูชื่อหมินอีกสองสามค่า ซูฉินก็กลับไปยังตําหนักชุนฝั่งขวา เอนหลังลงบนที่นั่ง หยิบผลไม้จิตวิญญาณออกมากินอีกครั้ง
“การฝึกฝนวิทยายุทธ ไม่ใช่ว่าแค่ชอบแล้วจะได้ดีเสมอไป” ซูฉินเหลือบมองเด็กๆ ตระกูลนับสิบคนที่รายล้อมอยู่รอบรูปปั้นนั้น
ด้วยสายตาของซูฉิน เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นความสามารถของเด็กเหล่านี้ว่าไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีอะไรมากนัก และพวกเขาก็ไม่สามารถเทียบกับหลีหว่านในวัยเด็กได้เลย
แต่ซูฉันไม่ได้สนใจเรื่องความสามารถหรือศักยภาพอะไรนัก ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตราบใดที่เขาเต็มใจจะทําการปรับปรุงศักยภาพก็ทําได้เพียงแค่ความคิดวูบเดียว
แต่ในการฝึกฝนวิทยายุทธ นอกจากศักยภาพแล้ว สิ่งที่สําคัญกว่าคืออุปนิสัยจิตใจไม่เช่นนั้น เมื่อประสบพบกับความพ่ายแพ้หรืออุปสรรคใด ย่อมทําให้ยอมแพ้ไปเองหยุดที่จะฝืนชะตาของตน เช่นนั้น ต่อให้มีพรสวรรค์สะท้านฟ้าจะไปมีประโยชน์อะไรกัน?
ศักยภาพเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยในการตัดสินใจเท่านั้น แต่การพึ่งพาสิ่งภายนอกก็สามารถยกศักยภาพของคนเราได้ อย่างเช่น คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นจากวัดเส้าหลินรวมไปถึงเคล็ดวิชาอื่นๆ
แต่การเปลี่ยนอุปนิสัยและจิตใจนั้นยากยิ่ง
นอกเหนือจากอุปนิสัยจิตใจแล้ว ความเข้าใจก็เป็นสิ่งสําคัญมากเช่นกัน
รูปปั้นที่ซูฉินทิ้งเอาไว้ก็มีไว้เพื่อทดสอบจิตใจและความเข้าใจของลูกหลานตระกูลซูเหล่านี้
หากผ่านไปนานแล้วยังไม่ได้อะไรจากรูปปั้นนี้ เกรงว่าลูกหลานตระกูลบางคนคงจะร้อนใจและ คิดที่จะถอนตัวออกไปอย่างไรเสียการวนเวียนอยู่รอบรูปปั้นเป็นเวลากว่าสิบสองชั่วโมงต่อวัน แม้แต่จอมยุทธทั่วๆ ไปยังทนไม่ได้นับประสาอะไรกับเด็กในวัยนี้?
นี่คือบททดสอบทางจิตใจ
สาหรับความเข้าใจนั้น ถ้าใครบางคนสามารถเข้าใจความลับบางอย่างได้จากรูปปั้นนี้ ก็เพียงพอแล้วในด้านความเข้าใจ
ต่อจากนั้น
ซูฉันไม่สนใจเด็กๆ ตระกูลซูที่กําลังเกาหูเกาแก้มเหล่านั้นอีกต่อไป อย่างไรเสียการชี้แนะสั่งสอนเด็กๆ ตระกูลซูเหล่านี้ก็เป็นเพียงงานอดิเรก หาใช่งานหลักของซูฉินไม่