เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 349 รอพวกเจ้ามานานแล้ว
Sign in Buddha’s palm 349 รอพวกเจ้ามานานแล้ว (ฟรี)
ภายในวัง
เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต่างจมอยู่ในห้วงความคิด
ในตอนนั้นเอง เจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วงที่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ก็กล่าวคําออกมาช้าๆ “บางที่ศิษย์ดิน แดนศักดิ์สิทธิ์ของเราอาจจะไม่ได้ถูกผู้อื่นสังหาร?”
เจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วงนั้นมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง ซึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงนี้เป็นดินแดน ศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวในหกแห่งที่เชี่ยวชาญในด้านกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิด
“ไม่ได้ถูกใครสังหารอย่างนั้นหรือ?” หลังจากที่ได้ยินคํากล่าวนั้น เจ้าลัทธิไก่อินก็มองไปทางเจ้าลัทธิเคหา สน์สีม่วงแล้วจึงกล่าวว่า “สหายเต่หมายความเช่นไร?”
เจ้าลัทธิคนอื่นๆ ต่างก็พุ่งความสนใจไปทางเจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วง
“จากโลกภายในประตูเซียนไปจนถึงโลกมนุษย์ มันจําเป็นต้องผ่านช่องว่างแห่งความว่างเปล่า ภายในช่อง ว่างนั้นเต็มไปด้วยมิติพื้นที่ที่ปั่นป่วนรวมถึงเศษซากชิ้นส่วนมิติ……” เจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วงเหลือบมองทุกคนแล้ว จึงกล่าวต่อ “แม้ว่าจะมีตราประทับไก่อินเป็นหลักประกัน แต่มันก็ไม่ได้รับประกันว่าจะสามารถผ่านช่องว่างมิติไป ได้…”
“มันก็เป็นไปได้” เจ้าลัทธิต้าฉือพยักหน้าเล็กน้อย
แม้ว่าตราประทับไก่อินจะบรรจุพลังมิติเอาไว้โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ทําให้สามารถป้องกันความปั่นป่วนใน ช่องว่างมิติและเศษซากชิ้นส่วนมิติได้
ในทางทฤษฎีนั้นเป็นไปได้ แต่ความเป็นจริงนั้นเป็นอีกเรื่อง พลังมิตินั้นเป็นพลังระดับสูงที่มีแต่ผู้ทรงพลังถึง ขีดสุดเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ แม้ว่าเซียนเทพปฐพหลายต่อหลายคนจะได้รับการคุ้มกันจากตราประทับไก่ อิน พวกเขาก็อาจจะไม่สามารถปิดกั้นเศษชิ้นส่วนมิติรวมถึงความปั่นป่วนได้ทั้งหมด
“เอาล่ะ”
“เนื่องจากยืนยันได้แล้วว่าไม่มีภัยคุกคามใดบนโลก และรู้ถึงสาเหตุที่เหล่าศิษย์สาวกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตกตาย หลังจากนี้พวกเจ้าจะทําอย่างไรต่อไป?” เจ้าขุนเขาแห่งภูเขาดาบสวรรค์เห็นด้วยกับคํากล่าวของเจ้า ลัทธิเคหาสน์ม่วง
ท้ายที่สุดพวกเขาก็นึกเหตุผลอื่นไม่ออก ยกเว้นแต่เหตุผลของเจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วง
โลกมนุษย์ไม่มีภัยคุกคาม ไม่มีเซียนเทพปฐพี นอกจากเกิดอุบัติเหตุตอนที่ผ่านช่องว่างมิติ จะเป็นเหตุผล อื่นใดไปได้?
“ในเมื่อยืนยันได้แล้วว่าไม่มีภัยคุกคามใดบนโลกมนุษย์ คราวนี้เราจะส่งผู้อาวุโสสักสองสามคนไปที่โลก พร้อมกับสมบัติล้ําค่าเป็นเช่นไร?” เจ้าขุนเขาแห่งหุบเขาเทพพระพายมองไปที่คนอื่นๆ พร้อมกับกล่าวคํา
ในประตูเซียน มีเพียงเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดเท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
สําหรับตัวตนอย่างผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขานับได้ว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้ว เว้นไว้เพียงแต่เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์และคนอีกจํานวนหนึ่ง ตําแหน่งผู้อาวุโสก็ถือเป็นสถานะอันสูงส่ง อย่างที่สุดแล้ว
ในโลกใบเล็กอย่างประตูเซียน ผู้อาวุโสภายในหกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด รวมกันแล้วมีไม่เกินร้อยคน แต่ ละคนมีความสําคัญอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ ยังไม่ชัดเจนว่าสถานการณ์บนโลกมนุษย์นั้นเป็นเช่นไรบ้าง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกจึงยินยอม เพียงแค่ส่งศิษย์ขั้นแบ่งจิตออกไปเท่านั้น ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเขาก็ยังพอที่จะทนรับมันได้
ส่วนผู้อาวุโสขั้นกลับคืนต้นกําเนิด…
การสูญเสียบุคคลเช่นนี้ไปเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์บางแห่งต้องเสียหายไป สักพักหนึ่ง
ดังนั้น หากไม่มีการรับประกันอย่างเต็มที่ ย่อมไม่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใดที่เต็มใจจะสูญเสียผู้อาวุโสขั้นกลับคืนต้นกําเนิดไป
แต่ยามนี้ เมื่อยืนยันได้แล้วด้วยดวงตาเทพเจ้าปีศาจว่าไม่มีภัยคุกคามใดบนโลกมนุษย์ เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์ สิทธิ์ทั้งหลายจึงไม่กังวลอีกต่อไป
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์จําเป็นต้องประจําการอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าเหล่าเจ้า ลัทธิคงจะเดินทางไปยังโลกมนุษย์ด้วยตนเองแล้ว
“มิผิด ตราประทับไท่อินถูกทิ้งไว้โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็จริง แต่สุดท้ายมันก็เทียบไม่ได้กับสมบัติล้ําค่า หากมีการคุ้มกันโดยสมบัติล้ําค่า การผ่านช่องว่างมิติในครั้งนี้ก็คงไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ” เจ้าลัทธิไทอินพยักหน้า
“น่าเสียดาย หลังจากที่กระแสปราณฉีบนโลกได้ไปถึงจุดเปลี่ยนผ่านอย่างน้อยจุดที่หก โลกประตูเซียนและ โลกมนุษย์จะเกิดความสมดุล ประตูเซียนจะเปิดออกอย่างสมบูรณ์ แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น ต่อให้ต้องการเดิ นทางไปยังโลกมนุษย์ ก็ไปได้แค่ทีละไม่กี่คนเท่านั้น……”
เจ้าลัทธิต้าฉือส่ายศีรษะ
เพื่อป้องกันไม่ให้โลกภายในประตูเซียนได้รับผลกระทบจากความเงียบงันของกระแสปราณฉีบนโลกมนุษย์ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนได้คิดหนทางไว้มากมาย ทําให้หลังจากผ่านช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นจึง จะสามารถเปิดเส้นทางไปสู่โลกมนุษย์ได้อย่างเต็มที่
ส่วนตอนนี้ สิ่งที่เหล่าเจ้าลัทธิได้รับมอบมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด คือตราประทับมิติที่ส่งคนไปยังโลก มนุษย์ได้ครั้งละไม่เกินสามถึงห้าคนเท่านั้น
….
หลังจากเจ้าลัทธิทั้งหลายพูดคุย คิดตัดสินใจกัน พวกเขาก็กลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนเองทันที และคัดเลือกผู้อาวุโสที่จะเดินทางไปโลกมนุษย์
สุดท้ายแล้วมีคนที่จะต้องไปทั้งสิ้นสามคน คือจ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพาย นักพรตหมื่นกําเนิดจาก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง และจอมดาบเก้าสัมผัสจากภูเขาดาบสวรรค์
เซียนเทพปฐพี่ทั้งสามนี้ล้วนอยู่ในขั้นกลับคืนต้นกําเนิดมาเป็นเวลาหนึ่งถึงสองร้อยปีแล้ว แม้จะนําไปเทียบ กับจุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดไม่ได้ แต่ก็ไม่นับว่าอ่อนแอ
สําหรับสมบัติล้ําค่าที่จะใช้เดินทางไปในความว่างเปล่านั้น ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือจะเป็นผู้จัดหาให้ มันเป็ นสมบัติล้ําค่าที่มีรูปร่างเป็นหอคอย
สมบัติทรงสูงนี้เป็นสมบัติล้ําค่าสําหรับการป้องกันโดยเฉพาะ ตราบใดที่เซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ยังอยู่ภายในสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยนี้ ไม่ว่าเศษชิ้นส่วนในความว่างเปล่าจะมีมากเพียงใดก็จะปลอดภัยแน่ๆ
“หลังจากที่พวกเจ้าไปถึงโลกมนุษย์ จะต้องครอบครองดินแดนแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ในทันที และรอต่อ ไปจนถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งที่หกของกระแสปราณฉี” เจ้าลัทธิไก่อินกล่าวออกเบาๆ
เหตุผลที่เทพธิดาไท่อนคนอื่นๆ ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งเป็นเพราะเทพธิดาไก่อินบนโลกมนุษย์ยังคงมี ชีวิตอยู่ และเมื่อมองผ่านดวงตาเทพเจ้าปีศาจก็พบว่าเทพธิดาไทอินน่าจะอยู่ในดินแดนแห่งพลังยุทธฯ เรีย บร้อยแล้วในตอนนี้
“คารวะเจ้าลัทธิผู้คุมกฎ”
เซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดทั้งสามโค้งคารวะเล็กน้อย
“เมื่อพร้อมแล้ว พวกเจ้าก็ไปกันเถอะ” เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือโบกมือ ทันใดนั้นสมบัติล้ําค่ารูปร่าง เหมือนหอคอยก็ตื่นขึ้น ลอยไปหยุดที่ด้านหน้ากลุ่มจ้าวแห่งลมทั้งสามคน จากนั้นจึงนําพาเซียนเทพปฐพีทั้ง สามผ่านทางเข้าออกที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์
หวิ่ง!!!
ภายในช่องว่างแห่งความว่างเปล่านั้นถูกปกคลุมไปด้วยสีเทา ไม่มีทิศทางบนล่างซ้ายขวา แต่ในสถานที่ เช่นนี้ ห่างไกลออกไปมีประตูหินโบราณขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งอยู่
“นั่นคือโลกมนุษย์งั้นหรือ?” นักพรตหมื่นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงก็มองกลับไปทางประตู เซียนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง
เขาเกิดและเติบโตภายในประตูเซียน และได้รับรู้การมีอยู่ของโลกมนุษย์มาจากหนังสือโบราณภายในดิน แดนศักดิ์สิทธิ์ และในความเข้าใจของนักพรตหมื่นกําเนิด มีเพียงโลกมนุษย์เท่านั้นที่สามารถให้กําเนิดผู้ทรง พลังถึงขีดสุดที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงได้
“เหล่าเจ้าลัทธินั้นระมัดระวังจนเกินไป ถึงกับกระตุ้นใช้ดวงตาเทพเจ้าปีศาจเพียงเพื่อยืนยันว่าไม่มีภัยคุกคาม บนโลก กว่าจะตัดสินใจปล่อยให้พวกเราได้เดินทางมา” จ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายส่ายศีรษะพร้อมกับ กล่าวคํา
“การกระตุ้นใช้งานดวงตาเทพเจ้าปีศาจไม่เพียงแต่จะใช้พลังงานปราณฉีอย่างมหาศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไป ถึงพลังมิติด้วย ความสูญเสียมากมายขนาดนี้กลับนํามาใช้กับโลกที่กระแสปราณฉีเงียบงันมาตั้งนานแล้ว……….”
จ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่เป็นอะไรหรอก”
“เจ้าลัทธิกําลังรับรองความปลอดภัยให้พวกเราอยู่”
“ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่เจ้าลัทธิทําเช่นนั้นไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เหล่าศิษย์หลายคนที่เข้าไปในโลกมนุษย์ล้ วนตกตายกันหมดหรอกหรือ?” จอมดาบเก้าสัมผัสแห่งภูเขาดาบสวรรค์กล่าว
“เหอเหอ ข้าหมายความว่าเจ้าลัทธิไม่จําเป็นต้องทําเช่นนั้น ปล่อยให้พวกเรากวาดล้างทั้งโลกมนุษย์ไปเล ยมันไม่ดีกว่าหรือ?” จ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายมั่นใจอย่างมาก
ในฐานะเซียนเทพปฐพขั้นกลับคืนต้นกําเนิด และเป็นเซียนเทพปฐพีธาตุลมที่มีความเร็วสูง แม้จ้าวแห่งลม จะพบเข้ากับจุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิด เขาก็ยังหลบหนีไปได้ จึงไม่เห็นโลกมนุษย์อยู่ในสายตา
แม้ว่าจะเป็นโลกภายในประตูเซียนซึ่งมีวิทยายุทธรุ่งเรือง ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในสายตาของจ้าว แห่งลม นับประสาอะไรกับโลกมนุษย์ที่กระแสปราณฉนั้นเงียบงันมานานแสนนาน?
ในขณะที่ทั้งสามคนกําลังพูดคุยกันอยู่นั้น
บูม!
พลันมีเสียงดังขึ้นจากประตูหินโบราณขนาดใหญ่ จากนั้นร่องประตูก็แง้มเปิดออก
กลุ่มของจ้าวแห่งลมทั้งสามก็ออกมาตามช่องว่างนี้อย่างรวดเร็ว ผ่านความว่างเปล่าเข้ามาสู่โลกมนุษย์
“ที่นี่คือโลกมนุษย์เช่นนั้นหรือ?” นักพรตหมื่นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงสูดลมหายใจเข้า พร้อมกับพึมพําอยู่กับตนเอง “แม้จิตวิญญาณปราณฉีจะเบาบาง แต่กฎเกณฑ์ต่างๆ นั้นชัดเจนยิ่งกว่ามาก……”
“ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความแล้ว รีบไปที่ดินแดนแห่งพลังยุทธฯ กันเถอะ”
จ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายมองไปยังตําแหน่งของดินแดนแห่งพลังยุทธฯ ใบหน้าดูเปล่งประกาย ยินดี “ข้าได้ยินมาว่ามีคนอยู่มากมายบนโลกใบนี้ มีราชวงศ์อยู่มากมายเรือนหมื่น การทําให้พวกมดเหล่านี้กลาย เป็นทาสค่อนข้างน่าสนใจ”
แม้จะมีคนมากมายภายในประตูเซียน แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนได้รับการดูแลจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ส่วนบนโลกมนุษย์นี้ ความแข็งแกร่งของจ้าวแห่งลมนั้นเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน การจะทําให้ผู้คนจํานวนมาก ตกเป็นทาส มิใช่เป็นเพียงเรื่องของความคิดหรอกหรือ?
ในขณะที่จ้าวแห่งลมตื่นเต้นและต้องการจะไปยังดินแดนแห่งพลังยุทธโดยเร็วที่สุด ใบหน้าของจอมดาบเก้า สัมผัสที่อยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ไม่ถูกต้อง”
หลังจากสินเสียงของจอมดาบเก่าสัมผัส
เห็นอาณาเขตที่บิดเบี้ยวแพร่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว เข้าปกคลุมคนทั้งสามรวมไปถึงจ้าวแห่งลมด้วย
เมื่ออาณาเขตสัมผัสร่าง พวกของจ้าวแห่งลมทั้งสามก็รู้สึกได้ถึงพลังอันหนักหน่วงเหนี่ยวรั้งร่างกายของ พวกตนไว้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาลดต่ําลงกว่าสี่ส่วน
“คือผู้ใดกัน?!”
ลูกตาของนักพรตหมื่นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงหดตัวลงทันที และมองไปยังจุดหนึ่ง
จ้าวแห่งลมและจอมดาบเก่าสัมผัสก็ดูเคร่งเครียด มองตามสายตาของนักพรตหมื่นกําเนิดไป
เห็นที่มาของอาณาเขตอยู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้ และเห็นชายร่างสูงเพรียวค่อยๆ เดินออกมา
ดวงตาของชายผู้นั้นสงบ ลมหายใจลึกล้ํา มือไพล่ไว้ที่ด้านหลัง มองไปยังกลุ่มของจ้าวแห่งลมทั้งสามคน
“ข้ารอพวกเจ้ามานานแล้ว”