เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 333 ทรงพลังตระการตา
Sign in Buddha’s palm 333 ทรงพลังตระการตา
ขณะที่คนทั้งห้าจากประตูเซียนใช้ทักษะลับเคลื่อนย้ายวิหารการสงครามที่ซ่อนลึกอยู่ในความว่างเปล่า ซฉินก็จับความรู้สึกบางอย่างได้ในทันที และมองขึ้นไปทางเทือกเขาคุนหลุน
ช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซูฉินนั่นเศียรมังกรปีศาจบนยอดเขาคุนหลุน และปรับแต่งวิหารการสงครามทั้งหมด จนกลายเป็นเจ้าของวิหารการสงครามคนใหม่ การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของวิหารการสงครามจะสามารถปิดบังซูฉินได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงเวลานั้นซูฉินยังไม่ได้ก้าวข้ามผ่านขอบเขตตํานานยุทธ
แม้จะปรับแต่งวิหารการสงครามได้ แต่ก็ไม่สามารถใช้วิหารการสงครามได้ ดังนั้นวิหารการสงครามจึงยังคงอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่าบนยอดเขาคุนหลุน ซูฉินวางแผนจะนํามันออกมา ยามเมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซูฉินไม่คาดคิดคือก่อนที่เขาจะไปยังเทือกเขาคุนหลุน วิหารการสงครามกับถูกแตะต้องเสียก่อนแล้ว?
“วิหารการสงครามเป็นสมบัติพื้นที่มิติที่ถูกปรับแต่งขึ้นมาโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งยังซ่อนอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่า แม้ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของอย่างข้า ในตอนที่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธยังไม่สามารถนํามันออกมาได้ คนอื่นๆก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
ซูฉินไม่ได้ออกเดินทางไปเทือกเขาคุนหลุนในทันที เขาสัมผัสได้ว่าวิหารการสงครามกําลังค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาโลก แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็ต้องใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมงก่อนที่มันจะเข้าสู่โลกได้ และเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่ซุฉินจะเดินทางไปถึง
นอกจากนี้ วิหารการสงครามได้รับการปรับแต่งโดยซูฉินเรียบร้อย หากซูฉินไม่อนุญาต แม้ว่าวิหารการสงครามจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งจริงๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อื่นจะเข้าไป
“เป็นเซียนเทพปฐพึ่งั้นรึ?”
“ทั้งยังไม่ใช่เซียนเทพปฐพี่ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นแบ่งจิตอีกด้วย?”
ซูฉินครุ่นคิด
เขาเชื่อว่าตนเองเมื่อยามที่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุดรวมถึงมีร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําก็ยังไม่สามารถนําวิหารการสงครามออกมาได้ ไม่ต้องกล่าวถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ
เกรงว่าจะมีเพียงเซียนเทพปฐพี่ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะพอนําพาวิหารการสงครามออกมาได้ ซึ่งทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับแนวคิดที่ว่า คนผู้นั้นได้ล่วงรู้ตําแหน่งเฉพาะของวิหารการสงครามที่ถูกซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าและรู้วิธีกระตุ้นวิหารการสงครามด้วย
“น่าสนใจ
“เมื่อไหร่กันที่เหล่าเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้อีกครั้ง?”
ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาของเขาสงบนิ่ง กระซิบคําถามกับตนเอง
“ช่างเถอะ”
“ปิดด่านฝึกตนมาหนึ่งปีแล้ว ถึงเวลาจะต้องออกไปสักหน่อย”
ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆลุกขึ้นยืน ยืดเหยียดร่างกายของตนเอง
ฟาว!
มีเสียงดังออกมาจากร่างของซูฉิน อวัยวะภายในเริ่มเปล่งแสงออกมาจางๆ ผิวกายใสราวกับไพลิน ทั่วทั้งร่างเปรียบประดุจเครื่องแก้วเปล่งประกายวาววับ
พลังปราณและเลือดเนื้อพลุ่งพล่าน แยกตัวออกจากร่างกายพวยพุ่งสู่ฟากฟ้า ภายในรัศมีสิบลี้ถูกระงับด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวของปราณเลือด
หลังจากบ่มเพาะมาหนึ่งปี แม้ซุฉินจะยังอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิต แต่ก็ได้ก้าวข้ามไปสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดกว่าครึ่งก้าวแล้ว
นอกจากนี้ ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ซูฉินยังลงชื่อเข้าใช้ในสถานที่กว่าสามร้อยแห่งทั่วทั้งเกาะเทพเจ้าสายฟ้า และได้รับสมบัติมากมายเป็นทรัพยากรบ่มเพาะสําหรับตนเอง
อาจกล่าวได้ว่า ซูฉินในยามนี้ต่อให้ไม่ใช้ไพ่ลับนับร้อยใบ เพียงอาศัยแค่กายเนื้อ ปราณเลือด และจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เพียงพอแล้วที่จะเทียบเท่าเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นก่าเนิด
“ทิ้งร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเอาไว้ให้ลงชื่อเข้าใช้บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าต่อไปดี กว่า” ซูฉินคิดเพียงชั่วครู่ จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็พลันแบ่งตัวออกจากร่าง ก่อตัวเป็นร่างจําแลง จิตวิญญาณแรกกําเนิด
เซียนเทพปฐพี่ในขั้นแบ่งจิตสามารถแบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดและก่อตัวขึ้นมาเป็นร่างจํา แลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีขั้นแบ่งจิตใหม่ๆ ต่า งก็ไม่เต็มใจที่จะทําเช่นนั้น เพราะมันจะเป็นการลดทอนความแข็งแกร่งของตนเอง และการแบ่งจิตจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกไปมันก็ต้องใช้เวลาที่นานมากในการฟื้นฟู
แต่ซูฉินต่างออกไป
หลังจากลงชื่อเข้าใช้มาหลายปี ซูฉินได้รับโอสถวิเศษมากมายที่ไม่รู้ว่าจะชดเชยจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้มากมายแค่ไหนด้วยซ้ํา การแบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกไปไม่ได้ทําให้เขากังวลเลย หากแบ่งออกเป็นแล้ว เขาก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ภายในครึ่งชั่วโมง
และแน่นอน
ในเวลานี้ ร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ซูฉินแยกออกมาเป็นเพียงร่างพลังงาน และพลัง ในการต่อสู้ของมันก็เทียบกับเซียนเทพปฐพี่ไม่ได้ แต่เพียงพอแล้วสําหรับการลงชื่อเข้าใช้ภายในเกาะเทพเจ้าสายฟ้า
“น่าเสียดาย เซียนเทพปฐพี่แบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมาได้แค่สามร่างเท่านั้น และด้วยการแบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดไว้บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้านี้ ก็ใช้ไปแล้วถึงสองร่าง…”
ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย
ร่างจําแลงที่เขาแบ่งแยกออกมาตอนที่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ แม้ว่าจะใช้ [จิตมารแยกวิถี] ก็ยังนับว่าเป็นร่างจําแลงเช่นกัน
“ได้เวลาเก็บกู้วิหารการสงครามแล้ว”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเขาคุนหลุน ก้าวเท้าออกและหายตัวไปจากเกาะเทพ เจ้าสายฟ้า
บนยอดเขาคุนหลุน
เซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าคนจากประตูเซียนกําลังนั่งขัดสมาธิ ไอพลังของพวกเขาเชื่อมโยงไปยังจุดหนึ่งในส่วนลึกของความว่างเปล่า
ฉับพลัน
ในตอนนั้นเอง
เหล่าเซียนเทพปฐพีก็ลืมตาขึ้น จ้องมองไปยังจุดหนึ่งในอากาศ
ช่วงเวลาต่อมา
ครื้น
เห็นวิหารอันสง่างามใหญ่โตมโหฬารค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของความว่างเปล่า
“วิหารการสงครามกําลังจะออกมา”
เด็กหนุ่มพยายามสงบใจ แต่น้ําเสียงนั้นยากที่จะปกปิดความตื่นเต้น หลังจากใช้ทักษะลับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ดึงวิหารการสงครามออกมาจากความว่างเปล่าจนได้
“นี่คือวิหารการสงคราม?”
“เซียนเทพปฐพี่มากมายเท่าไหร่กันนะที่ใฝ่หาวิหารการสงครามแห่งนี้!”
ก็ยังสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นบนใบหน้าในยามนี้
แม้ว่าวิหารการสงครามจะเป็นสมบัติพื้นที่มิติ แต่ก็ไม่รู้ว่าพื้นที่ด้านในกว้างใหญ่กว่าสมบัติพื้นที่มิติชั้นยอดอันอื่นๆ ตั้งกี่เท่าต่อกี่เท่า คุณค่าของวิหารการสงครามเพียงอย่างเดียวก็เกินกว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแล้ว ไม่ต้องกล่าวว่าภายในวิหารการสงครามอาจมีสมบัติที่เจ้าของวิหารการสงครามได้ทิ้งไว้อีก
“ถ้าได้นําวิหารการสงครามกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ย่อมได้รับรางวัลจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ และเกรงว่าด้วยรางวัลเหล่านั้น มันคงจะเพียงพอต่อการก้าวเข้าสู่ขั้นสถิตเทพ……”
ชายร่างสูงก่าย่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
รู้หรือไม่ว่าแม้ภายในประตูเซียนจะมีผู้แข็งแกร่งมากมายนับไม่ถ้วน ขอบเขตเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพนั้นก็ยังหาได้ยากยิ่ง และทุกคนล้วนเป็นจ้าวลัทธิยักษ์ใหญ่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลัก ความสามารถของพวกเขามากมายทะลุฟ้า
ทั้งห้าคนล้วนมาจากประตูเซียน แม้แต่เทพธิดาไท่อินที่มีสถานะสูงที่สุดได้ถือครองตราประทับที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้ ก็มีเพียงความหวังอันริบหรี่เท่านั้นที่จะเข้าสู่ขั้นสถิตเทพ
ส่วนอีกสี่คนที่เหลือ บางทีพวกเขาอาจจะต้องใช้เวลาหลายร้อยปีก่อนจะกลายเป็นเซียนเทพปฐพี่ในขั้นกลับคืนต้นกําเนิด แต่ขั้นสถิตเทพนั้น….เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน?!
เซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพได้เริ่มสัมผัสถึงพลังของมิติแล้ว แม้ว่าการสัมผัสพลังมิติกับการ
นกําเนิดและขั้นแบ่งจิตไปอย่างสิ้นเชิง
–
หากต้องการเข้าสู่ขั้นสถิตเทพ นอกเหนือจากความสามารถและโอกาสของตนเองแล้ว ยังต้องใช้ภูมิหลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วย ให้พวกเขาสัมผัสถึงพลังแห่งพื้นที่มิติได้
หากต้องการให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มอบมรดกให้โดยไม่ลังเลใจ ความเป็นไปได้เดียวคือต้องสร้างคุณปการอันยิ่งใหญ่ให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์
นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมจึงมีเซียนเทพปฐพีที่ไปถึงขั้นสถิตเทพเพียงไม่กี่คนภายในประตูเซียน
และหากพวกเขานําวิหารการสงครามกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มันย่อมนับเป็นความสําเร็จครั้งใหญ่อย่างแน่นอน สมบัติพื้นที่มิติขนาดใหญ่ที่ได้รับการปรับแต่งโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด มีคุณค่าเกินกว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิด หากนี่ไม่ใช่ผลประโยชน์ครั้งใหญ่ จะมีสิ่งอื่นใดที่เป็นประ โยชน์ต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้มากเท่านี้อีกเล่า?
“แต่ข้าได้ยินมาว่ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังได้เข้าไปภายในวิหารการสงครามมาแล้ว?” ใน ตอนนั้น ชายหนุ่มที่ท่าทางอ่อนแอก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก แล้วพูดด้วยเสียงต่ํา “พวกเจ้าคิดว่าสมบัติภายในวิหารการสงครามจะถูกมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเอาออกไปแล้วหรือไม่?”
ความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอ
แม้ว่าพวกเขาจะได้รับวิหารการสงครามมา แต่ก็ไม่สามารถครอบครองมันได้ ท้ายที่สุดก็ยังต้องส่งกลับไปยังนิกายของพวกตน เพราะพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายวิหารการสงครามได้
แต่สมบัติภายในวิหารการสงครามนั้นไม่ใช่ หากสมบัติภายในเป็นเคล็ดวิชาบางประเภท หลังจากที่พวกเขาได้เรียนรู้มันแล้ว จึงค่อยมอบให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อแลกกับผลงาน นี่เป็นการได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ?
การที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยในการสร้างพื้นที่ขนาดใหญ่พิเศษนี้ขึ้นมา สมบัติวิเศษที่เก็บไว้ภายในจะต้องเป็นบางสิ่งที่น่าทิ้งอย่างแน่นอน!
เมื่อชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอกล่าวออกเช่นนี้
ใบหน้าของอีกสี่คนที่เหลือก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
จริงดังว่า
ความกังวลของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอก็ไม่ได้ไร้เหตุผล
“ห์!”
ชายร่างสูงกํายําพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา “วิหารการสงครามอยู่มานานแค่ไหนแล้ว? แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณครั้งล่าสุด ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครนําสมบัติด้านในออกไปได้ นับประสาอะไรกับในยุคนี้?”
ชายร่างกํายําเหลือบมองอีกสี่คนที่เหลือและเมื่อเห็นว่าพวกเขายังกังวลอยู่ จึงยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า
“จะเป็นอะไรไปถ้ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเอาสมบัติไปจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกับการที่พวกเราร่วมมือกันปราบเมืองฉางอัน ปราบมนุษย์สวรรค์ผู้นั้น และบังคับให้มันมอบสมบัติออกมา”
ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จะเอามาเทียบกันได้อย่างไร?”
“เราทั้งห้าเมื่อร่วมมือกัน มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะต้านทานได้อย่างไร?”
เสียงอันแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง คงจะลําบากไม่น้อยหากเป็นศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นที่นําสมบัติไป แต่กับมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง…
หากปราศจากการสนับสนุนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งย่อมไม่ดีเท่าพวกเขา จะเกิดอะไรขึ้นต่อให้ได้สมบัติไป? ไม่ใช่สุดท้ายก็ต้องยอมมอบให้พวกเขาอย่างเชื่อฟังหรือ?
“นั่นสินะ”
เมื่อได้ยินคํากล่าวนั้น อีกสี่คนก็พยักหน้าเล็กน้อย และความกังวลที่มีก็คลายออกอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่คนทั้งห้ากําลังคุยกันอยู่นั้น
วิหารอันสง่างามมโหฬารก็โผล่ออกมาจากส่วนลึกของความว่างเปล่า เข้าสู่ยอดเขาคุนหลุนอย่างสมบูรณ์
ฉับพลัน แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายปกคลุมไปทั่ว ทว่าคนทั้งห้าในที่แห่งนี้ล้วนเป็นเซียนเทพปฐพี แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับแรงกดดันนี้ แต่ก็พอต้านรับได้ อย่างน้อยก็ไม่เหมือนขอบเขตตํานานยุทธที่ความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ต้องถูกระงับยับยั้งไป
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
เด็กหนุ่มมองไปที่วิหารการสงครามอย่างละเอียดพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า กําลังจะก้าวเดินเข้าไป
อีกสี่คนก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด
ฉับพลัน
ในตอนนั้นเอง
ใบหน้าของเทพธิดาไท่อนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง นางจึงเงยหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง
เทพธิดาไท่อินจ้องมองออกไปด้วยความเหลือเชื่อ
พลันเห็นฟ้าดินมืดมิดลงทันใด
จากนั้น ดวงตะวันสีทองก็ส่องสว่างออกมาอย่างช้าๆ จากขอบฟ้าอันไกลโพ้น แทบจะไม่สามารถอธิบายแสงตะวันครานี้ได้ ดูเหมือนว่าจะมีดวงตะวันเพิ่มขึ้นมาจากขอบฟ้า ส่องลงมาบนผืนโลกในรัศมีร้อยล์
“นั่นคือ?”
อีกสี่คนก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางสิ่งผิดปกติ และหันไปมองด้วยความตกใจ
เมื่อได้เห็นดวงตะวันสีทองขนาดใหญ่ ร่างสูงเพรียวก็โผล่ออกมา
ใบหน้าดูคลุมเครือไม่ชัดเจน ดวงตาเปล่งแสงเร่าร้อนคล้ายกับดวงอาทิตย์ ปราณเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและดวงตะวัน ดูยิ่งใหญ่ทรงพลัง
มันผู้นั้นก็คือซูฉิน!