เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 330 เข้าสู่ระบบ! สระสายฟ้าโบราณ!
Sign in Buddha’s palm 330 เข้าสู่ระบบ! สระสายฟ้าโบราณ!
“ตามคาด กระแสปราณฉีบนโลกเริ่มฟื้นตัวแล้ว” ในตอนนี้ ชายคนหนึ่งที่ดูยังหนุ่มยังแน่นหรี่ตาลง มองทอดสายตาออกไปไกล พูดด้วยเสียงต่า
“มิผิด”
ต่างคนต่างมองหน้ากัน สีหน้าแสดงอาการสั่นไหว
ช่วงสิบปีที่แล้ว ผู้อาวุโสของพวกเขาได้รับรู้ถึงความผันผวนของพลังจากโลกผ่านสมบัติลับ และคาดเดาว่ากระแสปราณฉีคงจะเริ่มฟื้นคืนแล้ว ดังนั้นจึงไม่รอช้า ใช้ตราประทับที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้ เพื่อพาพวกเขามาตรวจดูโลกมนุษย์ว่ากระแสปราณฉีเริ่มฟื้นคืนแล้วจริงๆหรือไม่
“นี่คือโลกอันยิ่งใหญ่ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แม้ว่าโลกใบเล็กของประตูเซียนจะเต็มไปด้วยปราณฉี มีชีวิตชีวาทั่วทุกหนแห่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหมื่นปี มันก็เทียบกับโลกมนุษย์ไม่ได้เลย……”
หญิงคนหนึ่งที่สวมผ้าเนื้อโปร่ง มีบุคลิกเย็นชาราวกับน้ําแข็งกล่าวค่าออกมาพร้อมกับถอนหายใจ
แม้ว่าในแง่ของปราณฉีและจิตใจฟ้าดินตลอดช่วงหมื่นปีภายในโลกใบเล็กของประตูเซียนจะดีกว่าที่โลกมนุษย์มาก สําหรับการบ่มเพาะขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้น ปราณฉีและจิตใจฟ้าดินเป็นสิ่งสําคัญก็จริง แต่มันไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่สําคัญ ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ต้องเข้าใจโลกเข้าใจฟ้าดินให้มากขึ้น ในจุดนี้แม้แต่โลกใบเล็กก็ไม่สามารถเทียบกับโลกมนุษย์ได้
แม้บนโลกมนุษย์ กระแสปราณจะเงียบงัน กฏเกณฑ์ธรรมชาตินับหมื่นจะแห้งเหี่ยว แต่ก็ยังเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบ
“เอาล่ะ”
“อย่ากล่าวเรื่องไร้สาระกันอีกเลย”
“เนื่องจากเรารู้แน่ชัดแล้วว่ากระแสปราณฉีบนโลกได้เริ่มฟื้นคืน เราก็กลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อบอกกล่าวว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบนโลกมนุษย์กันเถอะ”
ชายร่างกาย่าในตอนแรกหันกลับมา มองไปที่หญิงท่าทางเย็นชาผู้สวมใส่ผ้าเนื้อโปร่งแล้วถามขึ้นว่า “เทพธิดาไทอิน เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
ที่พวกเขาทั้งห้ามาในครั้งนี้ได้ เป็นเพราะตราประทับในมือของเทพธิดาไก่อิน จึงข้ามผ่านช่องว่างในอากาศเข้ามายังโลกมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย
ดังนั้นในเวลานี้ หากพวกเขาต้องการย้อนกลับไป พวกเขาจําเป็นต้องพึ่งพาตราประทับที่เทพ ธิดาไท่อนถือครองอยู่
ไม่เช่นนั้น หากไม่มีตราประทับ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนของประตูเซียน พวกเขาก็ไม่สามารถข้ามผ่านช่องว่างอากาศได้ ท้ายที่สุดพลังแห่งความว่างเปล่าจะบดขยทุกคน แหลกเหลวจนจําไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
“ไม่ได้
เพียงแค่เทพธิดาไท่อินคิด ตราประทับขนาดเท่ากําปั้นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา หมุนวนไปมา
“ตราประทับไท่อนนี้ถูกทิ้งไว้โดยผู้ทรงพลังจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่อนของข้า มีพลังงานพื้นที่มิติอยู่ภายใน เพียงพอที่จะหักล้างกับพลังมิติจากภายนอก”
“แต่ตอนที่มันปกป้องพวกเราข้ามผ่านช่องว่างอากาศก่อนหน้านี้ มันกินพลังส่วนใหญ่ที่สะสมอยู่ไปหมดแล้ว และพลังพื้นที่มิติที่เหลือไม่เพียงพอจะพาเรากลับไปที่ประตูเซียน”
เทพธิดาไก่อินสายศีรษะพร้อมกับกล่าวค่า
“อะไรนะ?”
“แล้วตอนนี้ควรทําเช่นไรต่อไป?”
“พอจะเป็นไปได้ไหมที่จะส่งสักสองสามคนกลับไปก่อน?”
ใบหน้าของคนที่เหลือก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาต้องเสี่ยงอันตรายจากการถูกทําลายด้วยพลังแห่งพื้นที่มิติ เดินทางผ่านช่องว่างแห่งความว่างเปล่า เพื่อตรวจสอบว่ากระแสปราณฉีบนโลกมนุษย์นั้นเริ่มฟื้นคืนแล้วหรือไม่
เมื่อนําข่าวกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ย่อมจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างแน่นอน
แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขากลับไปยังประตูเซียน
หากไม่สามารถกลับไปยังประตูเซียนได้ รางวัลที่กล่าวไว้ข้างต้นย่อมหายไปเป็นธรรมดา
“ไม่ต้องกังวล”
เทพธิดาไท่อนเหลือบมองกลุ่มคนพร้อมทั้งกล่าวว่า “พลังพื้นที่มิติมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เพียงแค่ต้องให้เวลากับตราประทับไทอินนี้สักพักหนึ่ง แล้วพลังพื้นที่มิติจะชดเชยกลับมาเองตามธรรมชาติ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
คนทั้งหลายต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ต้องรออีกสักพัก?” ชายที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มก็ยนคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นจึงยึดตัวขึ้นพูดเชื้อเชิญทุกคน “ทุกท่านสนใจจะออกไปหาโอกาสดีๆ กับข้าไหม?”
คําที่กล่าวออกมา
คนทั้งสี่รวมถึงเทพธิดาไท่อนผู้เยือกเย็นราวกับน้ําแข็งต่างก็หันมามองเด็กหนุ่ม
สิ่งที่เด็กหนุ่มเรียกว่าเป็นโอกาสดีๆนั้น อย่างน้อยก็ต้องเกี่ยวข้องกับเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพ และตัวตนระดับนี้แม้แต่ภายในประตูเซียนก็ยังนับเป็นยักษ์ใหญ่ มีเพียงจ้าวลัทธิจากดินแดนศักดิ์สิท“โอกาสอะไร?” ชายธิ์หลักๆเท่านั้นที่มีโอกาสไปถึง
ร่างสูงกําย่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป
“พวกเจ้ารู้จักวิหารการสงครามหรือไม่?” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกับกระซิบค่าออกมา
“วิหารการสงคราม?”
รูม่านตาของอีกสี่คนที่เหลือพลันหดตัวลงกะทันหัน
“วิหารการสงคราม?”
“ถ้าจําไม่ผิด เจ้าของวิหารการสงครามจะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ใช้จ่ายอย่างมหาศาลเพื่อสร้างวิหารการสงครามขึ้น พื้นที่ภายในนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ตามตํานานเล่าว่าภายในมีสมบัติของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดบรรจุเอาไว้”
เทพธิดาไทอินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวออกมา
เมื่ออีกสามคนได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของพวกเขาก็ร้อนผ่าวทันที
นี่คือสมบัติของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด! ภายในประตูเซียนนั้นหายากเพียงใด มีสิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่มรดกสําคัญของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลัก? ศิษย์อย่างพวกเขาไม่แม้แต่จะรู้วิธีไปนํามันมาการแตะต้องสักนิดยังเป็นไปไม่ได้
“ถูกต้อง วิหารการสงครามอันนั้นแหละ!” เด็กหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับตอบคํา
“แต่วิหารการสงครามแห่งนั้นมีมังกรปีศาจเฝ้าเอาไว้ มังกรปีศาจตนนี้อยู่ในขั้นสถิตเทพระดับสูงสุด ด้วยร่องรอยสายเลือดมังกรที่แท้จริงที่ไหวเวียนอยู่ในกายของมัน แม้ว่าเราจะพบวิหารการสงครามก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะมังกรและฝ่าเข้าไปภายใน
เสียงของเทพธิดาไม่อินยังคงเย็นชาและกล่าวออกเบาๆ
ในยุคเฟื่องฟุกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ไม่ใช่ว่าไม่มีเซียนเทพปฐพี่ที่ให้ความสนใจกับวิหารการสงคราม แต่พวกเขาทั้งหมดถูกขับไล่ออกมาโดยสัตว์อสูรที่อยู่ภายใน
เจ้าของวิหารการสงครามเคยตั้งกฏไว้ว่ามีเพียงขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่วิหารการสงครามได้
ส่วนเหล่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด…
หากเหล่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเข้าสู่วิหารการสงคราม มันจะทําให้พื้นที่มิติภายในวิหารการสงครามพังทลายโดยทันที ซึ่งเป็นกฎที่ตั้งเอาไว้โดยเจ้าของวิหารการสงคราม
แม้ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะควบคุมพลังมิติได้ แต่ด้วยความกว้างขวางของพื้นที่ที่อยู่ในวิหารการสงคราม เมื่อมันเริ่มพังทลายลงมาจริงๆ แม้ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะไม่ตาย แต่อาจจะต้องหลงไปในพายุมิติ
เป็นเพราะเหตุนี้ ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด จึงไม่มีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่เคยเข้าไปภายในวิหารการสงคราม
สุดท้ายแล้ว สําหรับผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุด หากไม่มีสมบัติใดที่ต้องการ พวกเขาจะเสี่ยงหลงในพายุมิติ ผืนบุกเข้าไปภายในวิหารการสงครามทําไม?
“ฮ่าฮ่า…”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ถ้าเป็นยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ข้าย่อมไม่ให้ความสนใจวิหารการสงครามเป็นธรรมดา”
“แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าหมื่นปีแล้ว แม้ว่ามังกรปีศาจในวิหารการสงครามจะมีสายเลือดของเผ่ามังกรจริงๆ ข้าเกรงว่ามันคงจะสูญหายไปในไม่ช้าใช่ไหมเล่า?”
เสียงของเด็กหนุ่มที่กล่าวออกมา
ใบหน้าซังกะตายของคนที่เหลือพลันสว่างขึ้นมาทันที
จริงดังว่า
แม้ว่าอายุขัยของสัตว์อสูรจะมากกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะอยู่ตลอดไป
“ข้ามีทักษะลับที่สามารถสัมผัสได้ว่าวิหารการสงครามอยู่ที่ไหน แต่ข้าต้องการความร่วมมือจากท่านอื่นๆ ด้วย” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม
“เพียงแต่ว่า พวกเราอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาตั้งหมื่นปีโดยที่ไม่ได้ข้ามมาโลกฝั่งนี้เลย หากจะตามหาวิหารการสงครามตามชอบใจ มันจะเป็นเรื่องดีอย่างนั้นหรือ…”
เทพธิดาไฟอินยังคงลังเล
แม้ว่าวิหารการสงครามถือเป็นโอกาสที่ดี แต่งานที่สําคัญที่สุดของพวกเขา คือการนําข่าวที่กระแสปราณฉีบนโลกนั้นฟื้นคืนกลับไปบอกประตูเซียน
“ท่านเทพธิดาไม่ต้องกังวล”
“มันไม่น่าจะใช้เวลานานจนเกินไป”
“สําหรับโลกมนุษย์นี้…” ร่องรอยดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “ปราณจี้เงียบงันไปนานถึงเพียงนั้น แม้กระแสปราณจะเริ่มฟื้นคืนมาแล้วในตอนนี้ แต่จะมีผู้แข็งแกร่งอยู่สักกี่คน? แม้จะสืบทอดมรดกมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่ด้วยปราณฉีที่เงียบงันเช่นนี้ แทบจะไม่มีทางเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้เลย”
ขณะที่เด็กหนุ่มพูด ความเย่อหยิ่งก็แฝงออกมาผ่านค่าพูดนั้นด้วย
พวกเขาทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เคล็ดวิชาสืบทอดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ทิฐสูงเพียงไหน จะเห็นโลกมนุษย์ที่ปราณฉีเงียบงันอยู่ในสายตาหรือ?
“ก็ได้”
เทพธิดาไท่อินคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าให้
นางไม่ได้กังวลว่าเด็กหนุ่มจะมีความคิดอื่นใด ตราประทับของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่อนอยู่ในมือของนาง มีเพียงเทพธิดาไท่อนเท่านั้นที่จะสามารถกระตุ้นมันได้ เว้นแต่ เด็กหนุ่มตั้งใจจะไม่กลับไปยังประตูเซียน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคิดหลอกลวงนาง
ขณะที่ศิษย์สาวกดินแดนศักดิ์สิทธิ์จากประตูเซียนทั้งหลายก่าลังจะไปยังวิหารการสงคราม
ในส่วนลึกของเกาะเทพเจ้าสายฟ้า ซูฉินเดินไปรอบตัวเกาะทั้งหมดอย่างระมัดระวัง แล้วจึงเดินกลับไปยังรูปปั้นเทพเจ้าสูงร้อยจ้างที่อยู่บริเวณใจกลางจัตุรัส
“เกาะเทพเจ้าสายฟ้ามีขนาดหลายร้อยลี้ แต่มีเพียงสามร้อยแปดสิบแห่งเท่านั้นที่เหมาะแก่การลงชื่อเข้าใช้
ซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้รูปปั้นพลางคิดในใจเงียบๆ
แม้ว่าเกาะเทพเจ้าสายฟ้าจะมีอายุนับหมื่นปี แต่ก็ไม่ใช่ทุกแห่งที่จะมี ‘เต๋าสะสม
สถานที่ที่มี ‘เต๋าสะสม’ อยู่นั้นมันไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่มีอายุยาวนาน
ไม่เช่นนั้น หินกรวดที่วางอยู่เป็นหมื่นปีก็คงลงชื่อเข้าใช้ได้ไม่ใช่หรือ? ทําไมซูฉินต้องขวนขวายพยายามเพื่อตามหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ด้วย?
“เต๋าสะสม นั้นจับต้องไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ ไร้ลักษณ์เสียยิ่งกว่าพลังของมิติ ไม่ใช่ทุกที่ที่จะสามารถแบกรับพลังของเต่าสะสม หรือสะสม เต่าสะสม ต่อไปได้
“ไม่รู้ว่า สถานที่สําหรับลงชื่อเข้าใช้ทั้งสามร้อยแปดสิบแห่งจะสร้างความประหลาดใจให้ข้าได้มากเท่าไหร่กัน?”
ใบหน้าของซูฉินเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ลงชื่อเข้าใช้เลยดีกว่า” ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา มองไปที่รูปปั้นเทพเจ้าร้อยจ้างที่อยู่เบื้องหน้า
ตามการประเมินของซูจิน รูปปั้นนี้ควรจะเก็บเต่าสะสม เอาไว้เป็นจํานวนมาก ซึ่งน่าจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสถานที่บนเกาะทั้งสามร้อยแปดสิบแห่ง ดังนั้นเขาจึงวางแผนจะลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ก่อน
เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูฉินก็สงบใจลง แล้วในที่สุดก็กล่าวออกเบาๆว่า “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ สระสายฟ้าโบราณ]
เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน
“สระสายฟ้าโบราณ?”
สีหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสระสายฟ้าโบราณนี้ใช้งานอย่างไร แต่คําว่า ‘โบราณ ก็ทําให้ซูฉินรู้สึกกดดันอย่างมาก เป็นความกดดันที่แม้แต่สมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้าก็ให้ไม่ได้
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ซูฉินก็ผสานเข้ากับคลังของระบบอย่างรวดเร็ว และพบสระน้ําขนาดหลายเมต รอยู่ที่มุมหนึ่ง
พูดให้ถูกต้องก็คือ แม้ว่าสระนี้จะรูปร่างเหมือนสระน้ํา แต่ไม่ได้มีน้ําอยู่ กลับมีสายฟ้าที่เข้มข้นถึงขีดสุดอยู่แทน
“นี่คือสระสายฟ้าโบราณงั้นรึ?”
ซูฉินรู้สึกหัวใจชาวาบเล็กน้อย ยามเมื่อจ้องมองไปเห็นว่าน้ําทุกหยดในสระเป็นสายฟ้าสีทองจางๆ ที่ควบแน่นกันจนถึงขีดสุด
และยิ่งมองลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นสีสันของสายฟ้าที่เข้มขึ้นเรียงไปตั้งแต่ สีฟ้า สีม่วง และสีดํา มันไม่ได้มีขอบเขตที่ชัดเจน แต่มันมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เผยให้ได้รู้สึกถึงพลังทําลายอันน่ากลัวยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ซูฉินก็ลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา
“สระสายฟ้าโบราณนช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ…..”
ซูฉินเพียงมองดูมันอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกได้ว่าห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าของเขาได้เพิ่มระดับขึ้นไปอีกขั้น และใบหน้าของเขาก็ปรากฏความรู้สึกประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด