บทที่ 221 เกี๊ยวหนึ่งชาม
หานสาวโยนสายตาดูถูกให้เขา แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “นายคิดว่ามันเป็นแค่หกร้อยหยวนหรือไง หกแสนหยวนมันเป็นเงินก้อนใหญ่นะ ฉันจะยกมันไหวได้ยังไง แน่นอนว่ามันอยู่ในธนาคาร”
พูดจบเธอก็หันไปมองหม่าเหลยที่ยืนงง ๆ แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณไม่ได้กลัวว่าฉันจะเบี้ยวหนี้หรอกนะ”
หม่าเหลยรีบโบกมือปฏิเสธ หน้าแดงก่ำพลางพูดว่า “ไม่ครับ ไม่เลยครับ!”
เขาหันไปมองเหอเจ๋อ แล้วพูดอย่างเก้อเขิน “ไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นเพื่อนของคุณหาน ผมขอโทษที่เสียมารยาทไปเมื่อกี้ ขออย่าได้ถือสาเลยนะครับ งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ในหกแสนนั้น ผมจะไม่คิดดอกเบี้ยสองแสน เอาแค่เงินต้นสี่แสนก็พอครับ”
เห็นท่าทีของเขาเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เหอเจ๋อรู้สึกขำปนสงสาร แต่ก็ไม่อยากไปคิดมากอะไร
ส่วนหานสาวที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเขาพยายามรักษาหน้าให้ตัวเองขนาดนี้ ก็เอามือปิดปากหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดอย่างยิ้ม ๆ ว่า “คุณไม่ต้องเกรงใจหรอก ยังไงเงินก็ไม่ได้ออกจากฉันนี่ คนนี้ต่างหากที่เป็นคุณชายตัวจริง หกแสนสำหรับเขาแค่เศษเงินเท่านั้นแหละ คุณรับไว้เถอะ”
หม่าเหลยไม่คิดว่าจะมีเรื่องดี ๆ แบบนี้ ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปทันที จากเย่อหยิ่งกลายเป็นนอบน้อม ถ้าให้เขาไปเป็นทาสรับใช้ คงไม่มีทางปฏิเสธแน่
หานสาวอารมณ์ดี เธอจึงไม่ตระหนี่ เซ็นชื่อตัวเองลงไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายก็ถือว่าทุกคนจบกันด้วยดี หม่าเหลยได้ทั้งเงินและลายเซ็น จึงจากไปอย่างมีความสุข
แต่เมื่อเขากลับไปเล่าเรื่องวันนี้ให้ลูกชายฟังอย่างตื่นเต้น ลูกชายก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดข่าวด่วนแล้วชี้ไปที่รูปในนั้นถามว่า “ผู้ชายที่พ่อเจอคือคนนี้ใช่ไหม?”
หม่าเหลยหรี่ตามองอยู่พักหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบว่า “ใช่ ถึงเสื้อผ้าจะไม่เหมือนกัน แต่หน้าตาไม่ผิดแน่”
ลูกชายของเขาถามอย่างมีความหวัง “แล้วพ่อได้ลายเซ็นของเขามาไหม?”
“เขาน่ะเหรอ ลายเซ็นของลูกเศรษฐีคนหนึ่งจะมีอะไรดี”
“พ่อ เขาคือเหอเจ๋อไง! ทายาทของบริษัทภาพยนตร์เหอที่พ่อพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้ไง”
“หา!”
หม่าเหลยอ้าปากค้างจนแทบจะกลืนไข่ลงไปได้ทั้งฟอง ในใจเสียใจจนแทบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก โอกาสดี ๆ ที่เขาเฝ้าฝันมานานที่จะได้รู้จักเศรษฐี ก็หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย
เจิ้งเสี่ยวที่ปลดเปลื้องหนี้สินที่ค้างคาใจมานาน ในที่สุดก็คลายความกังวลลงได้ เขาโค้งขอบคุณเหอเจ๋ออย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ขอบคุณคุณมากที่ช่วยชีวิตผมไว้ คุณชื่ออะไรเหรอครับ สักวันผมจะตอบแทนบุญคุณคุณให้ได้”
เหอเจ๋อเพิ่งจะอ้าปากเตรียมพูด แต่หานสาวกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน เธอพูดหยอกล้อว่า “เขาเป็นทายาทของบริษัทภาพยนตร์เหอ เป็นเจ้านายของฉันเอง ถ้านายอยากตอบแทนเขา คงยากน่าดูเลยนะ”
แม้คำพูดของเธอจะนุ่มนวลมาก แต่ความหมายก็ชัดเจน ถึงจะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายจิตใจ แต่ก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีนัก
เจิ้งเสี่ยวเม้มริมฝีปาก พูดด้วยท่าทางดื้อรั้นและมุ่งมั่นว่า “ตั้งแต่เด็ก แม่ของผมสอนเสมอว่า น้ำหยดเดียวต้องตอบแทนด้วยน้ำพุ เมื่อได้รับความเมตตาจากผู้อื่น เราไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็น ต้องทุ่มเทสุดความสามารถ แม้ในคืนส่งท้ายปีเก่าผมจะกินเกี๊ยวได้แค่ชามเดียว ก็จะเก็บไว้ให้คุณสิบลูก”
เหอเจ๋อหัวเราะ ตบไหล่เขาพลางพูดยิ้ม ๆ ว่า “ฟังแล้วสบายใจจริง ๆ นายวางใจได้ ขอแค่เก็บเกี๊ยวไว้ให้ฉัน ฉันต้องไปกินแน่นอน”
เจิ้งเสี่ยวพยักหน้าอย่างตื่นเต้น ลังเลครู่หนึ่งแล้วล้วงนามบัตรออกมาจากกระเป๋ากางเกง ยื่นให้ด้วยสองมืออย่างนอบน้อม
“แม้ตอนนี้ผมยังเป็นนักเรียน แต่ในวงการกฎหมาย ก็พอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง หากมีอะไรให้ช่วย ผมจะทุ่มเทสุดชีวิตครับ”
เหอเจ๋อเห็นประกายในดวงตาเขา นึกถึงภาพตัวเองตอนอายุสิบสอง ที่สะพายกล่องยาไปหาหมอชื่อดังในท้องถิ่นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
นามบัตรแผ่นบางนี้ บรรจุศักดิ์ศรีทั้งหมดของชายหนุ่มคนนี้ไว้
เขาทำสีหน้าจริงจัง ยื่นสองมือรับนามบัตรเช่นกัน พิจารณาอย่างตั้งใจแล้วเก็บเข้ากระเป๋า
เจิ้งเสี่ยวจดจำทุกการกระทำของเขาไว้ในใจ
หลายปีต่อมา เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชื่อดังทั้งในและต่างประเทศ ได้ฉายาว่าไม่มีคดีไหนที่เขาจัดการไม่ได้
และนิสัยเล็ก ๆ ที่ทำให้ผู้คนพูดถึงเขามากที่สุด คือไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกครั้งที่รับนามบัตรจากผู้อื่น เขาจะใช้สองมือรับอย่างทะนุถนอมเสมอ
สื่อมากมาย นักเรียน แม้แต่ญาติพี่น้องต่างเคยถามถึงเหตุผล แต่ทุกครั้งเขาจะส่ายหน้ายิ้มโดยไม่พูดอะไร ในหัวลอยไปถึงเหตุการณ์ในตรอกแคบเมื่อครั้งหนึ่ง แล้วชงชาเข้มสักถ้วย ฮัมเพลงเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมชีวิต
แต่นั่นเป็นเรื่องในอนาคต มีคำกล่าวว่า มอบกุหลาบให้ผู้อื่น มือยังคงหอมกลิ่นกุหลาบ
การช่วยเหลือคนหนุ่มคนหนึ่งออกจากเหวลึก ทำให้เหอเจ๋อรู้สึกดี เขาเหลือบมองชุดกี่เพ้าของหานสาวแล้วถามอย่างสงสัย “เธอแต่งตัวแบบนี้มาทำไม แต่งมาแบบนี้เลยเหรอ”
หานสาวตบไหล่เขา ถอนหายใจพลางบ่นว่า “ก็เพราะต้องทำงานหนักให้เศรษฐีอย่างนายไงล่ะ”
“เกี่ยวอะไรกับฉัน” เหอเจ๋อทำหน้างง รู้สึกว่าโดนใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม
“นายลืมเรื่องที่ขอร้องฉันครั้งก่อนแล้วเหรอ ตอนนั้นฉันมันโง่ เลยตกลงเซ็นสัญญากับบริษัทภาพยนตร์เหอ ผลคือพี่สาวนายแท้จริงเป็นคนบ้างาน จัดให้ฉันถ่ายโฆษณาเป็นร้อย ๆ งาน หนังสามเรื่อง ละครสองเรื่อง รู้สึกว่าปีนี้คงไม่มีวันหยุดแล้ว” หานสาวพูดด้วยสีหน้าน้อยใจ
แม้จะพูดแบบนั้น แต่ในใจเธอก็ดีใจ เพราะสำหรับดารา ยิ่งได้รับความสนใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงว่าชื่อเสียงมากขึ้นเท่านั้น
ขณะนั้นโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ทีมถ่ายทำเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอแค่เธอที่เป็นนักแสดงนำเท่านั้น
“ฉันตั้งใจจะกินข้าวกับนายด้วยซ้ำ พวกนี้น่ารำคาญจริง ๆ” หานสาวถือโทรศัพท์พลางพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ยังมีโอกาสอีกเยอะในคราวหน้า รอให้เธอว่างก่อน แล้วฉันจะเลี้ยงข้าวเธออย่างดีเลย”
“ตกลง พวกเราสัญญากันแล้วนะ!”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น โทรศัพท์ที่เร่งรัดก็ดังขึ้นอีกครั้ง หานสาวจึงได้แต่ยิ้มอย่างจนใจแล้วรีบจากไปอย่างเร่งรีบ
เหตุการณ์เล็ก ๆ นี้ไม่ได้ใช้เวลานานนักแต่ก็ไม่ได้สั้นเกินไป ล่าช้าไปประมาณชั่วโมงกว่า เหอเจ๋อกลับมาที่พักชั่วคราวแล้วชำเลืองมองห้องตรงข้าม พบว่ากวนหลิงไม่อยู่ จึงไม่ได้สนใจอะไร กลับเข้าห้องหยิบขวดโหลมากมายที่ตนเองรวบรวมออกมา แล้วเริ่มวิเคราะห์ส่วนประกอบของยาหลิงชุนตัน
ช่วงเย็น กวนหลิงเพิ่งกลับมาถึงบ้านและกำลังถอดเสื้อเพื่อเปลี่ยนชุดนอน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ผนังโดยรอบสั่นสะเทือน เธอตกใจจนมือสั่น ทำสายชุดชั้นในขาด
MANGA DISCUSSION