บทที่ 218 ไร้ยางอาย
เหอเจ๋อแม้จะมีสภาพร่างกายที่น่าทึ่ง การบุกฝ่าไปอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็คงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกไม้กระบองฟาดจนบาดเจ็บ เขาไม่ใช่พวกชอบความเจ็บปวด จึงไม่อยากทำแบบนั้น
นอกจากนี้ ตั้งแต่เด็กแม่ของเขาก็สอนว่า การต่อสู้นั้นต้องใช้สมอง ไม่ใช่แรงกายอย่างเดียว แม้ทุกครั้งเขาจะถูกต่อย เขาก็จดจำคำสอนนี้ไว้ในใจ
ฝ่ายตรงข้ามดูดุดัน เหอเจ๋อจึงหลบหลีกการเผชิญหน้า ถอยหลังแล้ววิ่งวนรอบโต๊ะอาหารใหญ่ในห้อง
เขาคนเดียวเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ทำให้อีกฝ่ายไล่ตามไม่ทัน มีสองคนที่รีบร้อนวิ่งเร็วกว่าคนอื่น แต่ก็ถูกเขาจู่โจมจนล้มลง
คนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวอีก ได้แต่วิ่งไล่ตาม
พ่อลูกที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ รู้สึกกระวนกระวายใจ แม้พวกเขาไม่ใช่คนไร้ฝีมือ แต่ก็ไม่อาจต่อกรได้ ได้แต่กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด
เหอเจ๋อมีร่างกายแข็งแรง วิ่งมาราธอนรอบหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่พวกนักเลงเหล่านี้ทนไม่ไหวแล้ว ต่างเหนื่อยหอบ
“ไอ้หนู ถ้าแน่จริงก็หยุดวิ่งสิ มาสู้กันอย่างลูกผู้ชายซึ่ง ๆ หน้า วิ่งหนีแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน ไม่งั้นก็ร้องขอชีวิตสิ แล้วพวกเราจะไปทันที!”
พวกนักเลงเหนื่อยจนทนไม่ไหว คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็ยกมือให้ทุกคนหยุด แล้วตะโกนออกมา
เหอเจ๋อได้ยินก็ขำ หันไปชูนิ้วกลางใส่พวกเขาแล้วพูดอย่างดูถูกว่า “ตอนแรกก็ใส่ยาในเหล้า โชคดีที่ฉันฉลาดไม่ติดกับ แล้วยังรุมกันมาอีก ถ้าแน่จริงก็เข้ามาสู้ตัวต่อตัวสิ!”
หัวหน้าหัวเราะแล้วพูดว่า “ได้เลย แกจะสู้กับพวกเราทั้งกลุ่ม หรือจะให้พวกเราทั้งกลุ่มสู้กับแกคนเดียวล่ะ”
พวกนักเลงหัวเราะลั่น แล้วใช้ทักษะด่าทอแบบแม่ค้าตลาด พ่นคำหยาบคายออกมาเป็นชุด ถ้ามีคนบันทึกไว้คงพิมพ์เป็นหนังสือรวมคำด่าได้
“งั้นฉันจะสู้กับพวกแกทั้งหมดนี่แหละ ไอ้พวกขี้ขลาด!”
เหอเจ๋อตะโกนเสียงดัง ฉวยโอกาสตอนทุกคนตกตะลึง ใช้สองมือจับหน้าโต๊ะกว้างกว่าสามเมตร กล้ามเนื้อแขนพองขึ้นอย่างรวดเร็ว ยกขึ้นแล้วโยนไปทางพวกนักเลงที่กำลังหอบหายใจพักอยู่
ของที่มีขนาดใหญ่กว่าสามเมตรลอยมา พูดให้เห็นภาพก็คือ ใหญ่เกือบเท่าครึ่งสนามบาสเกตบอล ลอยมาปะทะหัวแบบนี้ สัญชาตญาณแรกของมนุษย์คือต้องหลบหนีแน่นอน
พวกนักเลงก็ไม่ต่างกัน ไม่มีใครอยากถูกบดเป็นโจ๊ก จึงแตกฮือหนีกระเจิงตามสัญชาตญาณ
หยางซยงที่ผ่านโลกมามาก เห็นอะไรมาเยอะ รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงรีบตะโกนเสียงดัง “อย่าตื่นตระหนก วิ่งไปทางซ้ายให้หมด!”
แต่พวกนักเลงเหล่านี้ก็แค่อันธพาลเกเรเท่านั้น เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ สิ่งแรกที่คิดคือเอาตัวรอด ใครจะมีเวลาฟังเขาพูด ต่างแตกฮือหนีกันไป
เหอเจ๋อมีประกายวาบขึ้นในดวงตา เขารอมาครึ่งค่อนวันก็เพื่อโอกาสนี้ จะไม่คว้าไว้ได้อย่างไร เขาย่อตัวพุ่งเข้าไปในกลุ่มคนที่วุ่นวายอย่างรวดเร็ว
พวกนักเลงยังไม่ทันตั้งตัว ต่างคนต่างสู้ ไม่สามารถรวมตัวต้านทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหอเจ๋อราวกับเสือเข้าฝูงแกะ ไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งยก หมัดเดียวก็สามารถล้มคนได้หลายคน ใช้เวลาไม่นาน ก็ทำให้พวกนักเลงร้องโอดโอยขอความเมตตา วิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
“อย่าตีเลย! พอแล้ว ๆ ฉันรู้ตัวแล้วว่าผิด พวกเรายอมแพ้แล้ว”
หัวหน้านักเลงโดนเตะที่ท้องทีเดียวก็รู้สำนึกทันที ยอมอ้อนวอนอย่างว่าง่าย
คนในวงการนี้ยิ่งแก่ยิ่งขี้ขลาด เขาแค่รับเงินมาไม่กี่หมื่นเอง ถ้าต้องเอาชีวิตมาแลก มันก็ไม่คุ้มเลย
เมื่อหัวหน้ายอมแพ้แบบนี้ พวกนักเลงคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าดื้อดึงอีก พากันก้มหัวนั่งอยู่บนพื้น เหมือนเด็กนักเรียนที่ทำผิด
“ฮ่า ๆ ๆ แค่บอกยอมแพ้ก็พอแล้วเหรอ ความไร้ยางอายของพวกแกที่ท้าสู้กับฉันเมื่อกี้หายไปไหนหมดล่ะ” เหอเจ๋อพูดอย่างเย้ยหยันพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
หัวหน้าทำหน้าเศร้าพูดว่า “พวกเราตาบอดเอง หลงเชื่อคำโกหกของหยางเฟิงถึงได้มาเป็นลูกน้องให้ จริง ๆ แล้วพวกเราไม่ได้ตั้งใจมาทำร้ายคุณหรอก”
“รู้ว่าเป็นการช่วยเหลือคนชั่ว ยังจะมาทำเรื่องเลว ๆ อีก น่ารังเกียจที่สุด” เหอเจ๋อสีหน้าเคร่งขรึม พูดอย่างดุดันว่า “พวกผู้ชายตัวโต ๆ มีมือมีเท้า ไม่คิดจะทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวดี ๆ กลับมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ ไม่ต้องพูดอะไรมาก วันนี้พวกแกทุกคนต้องโดนตัดมือหนึ่งข้าง ต่อไปจะได้ไม่ทำชั่วอีก”
พวกนักเลงได้ยินว่าจะถูกตัดมือ ต่างตกใจจนหน้าซีด ร้องไห้คร่ำครวญขอความเมตตา
หัวหน้านักเลงอยู่ในวงการมานาน รู้จักน้ำใจคน คิดอะไรได้ทันที ทำท่าเสียใจอย่างสุดซึ้งพูดว่า “พวกเราทำผิดสมควรถูกลงโทษ แต่ต่อไปถ้าจะกลับตัวเป็นคนดีก็ต้องมีอาชีพเลี้ยง ถ้ามีแค่มือเดียวคงจะลำบาก ขอร้องล่ะได้โปรดเมตตา เปลี่ยนวิธีลงโทษเถอะนะ”
เหอเจ๋อแค่ตั้งใจจะขู่พวกเขาเท่านั้น ไม่ได้จะตัดมือจริง ๆ เหตุผลของอีกฝ่ายก็ฟังขึ้น เขาจึงถือโอกาสพูดว่า “ก็ได้ ถ้าไม่อยากโดนตัดมือ งั้น…”
พวกนักเลงถอนหายใจโล่งอก พากันทุบอกรับรอง “คุณอยากให้พวกเราทำอะไรบอกมาได้เลย ต่อให้ต้องลุยไฟก็ไม่มีปัญหา!”
เหอเจ๋อกลอกตาไปมา แล้วหันไปมองพ่อลูกทั้งสอง ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พูดว่า “เมื่อกี้พวกแกบอกว่าสองคนนี้เป็นตัวการใช่ไหม งั้นให้โอกาสพวกแกแก้แค้น ตอนนี้ฉันมอบหมายงานให้ ค้นโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ของสองคนนี้ให้หมด แล้วโยนขึ้นไปบนเขาชิงเหลียง ทิ้งอาหารกับน้ำไว้ให้หนึ่งอาทิตย์ ฉันก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกแก เสร็จงานแล้วให้คนละสองหมื่น ถือว่าเป็นทุนตั้งต้นให้พวกแกพึ่งพาตัวเอง”
พ่อลูกมองหน้ากันอย่างงุนงง เขาชิงเหลียงอยู่ห่างจากที่นี่เป็นร้อยกิโล แถมยังขึ้นชื่อว่าห่างไกลความเจริญ นอกจากนักท่องเที่ยวที่ชอบผจญภัยแล้ว แทบไม่มีใครไปเลย
พวกนักเลงได้ยินแล้วต่างยิ้มแย้ม ไม่เพียงไม่ถูกลงโทษ ยังได้เงินอีก จึงรีบตอบตกลงทันที
“แต่!” เหอเจ๋อเสียงดังขึ้น น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นดุดัน พูดว่า “พูดกันตรง ๆ นะ ถ้าระหว่างทางมีใครแอบให้โทรศัพท์หรือของอื่นกับพวกเขา ใครก็ได้มาแจ้งฉัน ถ้าเป็นความจริง คนแจ้งจะได้รางวัลหนึ่งแสน ส่วนคนที่ถูกแจ้ง…หึ ๆ ๆ”
MANGA DISCUSSION