บทที่ 95 สารภาพ
เหอเจ๋อหัวเราะอย่างดูแคลนแล้วพูดทีละคำว่า “พวกแกนี่มันไอ้พวกชั่วช้า คิดว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ ถ้าฉันตกลงยอมความ มันก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนความเหิมเกริมของพวกแกน่ะสิ คราวหน้าก็จะมีคนตกเป็นเหยื่ออีก ดังนั้นอย่าคิดเลย!”
เหอโฮ่วฮวาไม่คิดว่าคนคนนี้จะดื้อดึงขนาดนี้ เขาเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “น้องชาย นายทำแบบนี้ทำไมกัน? เอาเงินไปใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ไม่ดีกว่าเหรอ? แถมฉันรับรองว่าต่อไปจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีกแล้ว”
“พอเถอะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระมากนัก” เหอเจ๋อโบกมือพลางพูดอย่างรำคาญว่า “คำรับรองพวกนี้ของแก ไปพูดกับตำรวจเถอะ”
เหอโฮ่วฮวาไม่คิดว่าไอ้หมอนี่จะดื้อดึงถึงขนาดนี้ จึงตวาดด้วยน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นดุดันว่า “แกอย่าเสือกไม่รู้จักบุญคุณ! อย่าคิดว่าไม่มีใครจัดการแกได้ ฝึกมาสักพักแล้วจะเป็นไร? เคยได้ยินเรื่องตระกูลโบราณที่ฝึกวิชายุทธ์ไหม?”
เหอเจ๋อเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มว่า “แน่นอน ฉันเคยได้ยินมาแล้ว”
เหอโฮ่วฮวาดีใจมาก เหมือนคนตกน้ำที่คว้าเอาฟางเส้นสุดท้ายไว้ เขาตัดสินใจเสี่ยง แล้วโอ้อวดว่า “งั้นแกเคยได้ยินเรื่องตระกูลเฉินแห่งปักกิ่งไหม รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงยังไม่แต่งงาน? จริง ๆ แล้วฉันเป็นลูกเขยตระกูลเฉิน เป็นสามีในอนาคตของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉิน ถ้าแกกล้าแตะต้องฉันแม้แต่เส้นผมเดียว เชื่อไหมว่าตระกูลเฉินจะไล่ล่าแกไปจนสุดขอบฟ้า!”
เหอเจ๋ออ้าปากค้าง แล้วถามด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อว่า “นายบอกว่านายเป็นสามีของเฉินจิ่งหมิ่น?”
เหอโฮ่วฮวาเห็นสีหน้าตกใจของเขาก็คิดว่าขู่สำเร็จแล้ว จึงหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ แล้วพูดอย่างยโสโอหังว่า “ตอนนี้รู้ความร้ายกาจของฉันแล้วใช่ไหม ถ้าแกรู้แล้วก็รีบไสหัวไปจากที่นี่ซะ เดี๋ยวฉันจะพูดกับตระกูลเฉินให้ บางทีอาจจะสอนวิชาให้แกสักสองสามท่าก็ได้”
เหอเจ๋อไม่พูดพร่ำทำเพลง หันหลังกลับไปที่รถสปอร์ตสีแดง เคาะกระจกแล้วพูดล้อเลียนว่า “ลงมาดูสามีเธอหน่อย”
ประตูรถสปอร์ตสีแดงค่อย ๆ เปิดออก หญิงสาวหน้าตาสะสวยก้าวลงมาจากรถ เธอมองเขาพร้อมกับเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อกี้ นายพูดว่าอะไรนะ”
เหอโฮ่วฮวาก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที เขาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า พูดตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา
เหอเจ๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พูดแซวขึ้นมาว่า “เป็นอะไรไป ขนาดเมียตัวเองยังจำไม่ได้”
เหอโฮ่วฮวาตัวแข็งทื่อ ราวกับถูกฟ้าผ่า ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลนออกมานอกเบ้า
ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถเรียกชื่อสกุลเฉินออกมาได้ แสดงว่าจะต้องรู้จักกับตระกูลนักสู้โบราณเป็นแน่
เฉินจิ้งหมิ่นมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “นายนี่มันช่างกล้าจริง ๆ กล้าดียังไงมาแอบอ้างเป็นสามีฉันหลอกลวงคนอื่น หาเรื่องตายรึไง”
เหอโฮ่วฮวารู้สึกเหมือนมีม้าหมื่นตัววิ่งอยู่ในใจ เขาแอบตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ต่อไปนี้ก่อนออกจากบ้านจะต้องดูฤกษ์ดูยามเสียก่อน ดวงซวยแบบนี้ คงต้องซวยมาตั้งแต่ชาติก่อนแน่ ๆ
แค่เอ่ยชื่อคน ๆ หนึ่งขึ้นมา เจ้าของชื่อตัวจริงกลับมาอยู่ตรงนี้ โลกนี้คงไม่มีอะไรน่าขายหน้าไปกว่านี้อีกแล้ว
เหอเจ๋อเริ่มขยับแขนขา บิดข้อมือไปมา พูดพร้อมกับหัวเราะร่วน “หมดเรื่องคุยแล้วสินะ คราวนี้อย่าหวังว่าจะรอดไปได้”
เหอโฮ่วฮวากลอกตาไปมา นึกถึงสวีอี้ไฉที่นอนสลบไม่ได้สติอยู่บนพื้น จึงตะโกนออกไปอย่างไม่ลังเล “อย่าเข้ามานะ ฉันแจ้งตำรวจแล้ว”
เหอเจ๋อไม่พูดอะไร
สิบนาทีต่อมา ตำรวจที่ได้รับแจ้งเหตุก็รีบรุดมาถึง คนนำทีมไม่ใช่ใครอื่น นอกจากโอวเทียนเหิงที่เคยเจอหน้าเหอเจ๋อมาแล้วหลายครั้ง
“สารวัตโอว เจอกันอีกแล้วนะครับ”
โอวเทียนเหิงรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย ครั้งที่แล้วที่เกิดเรื่องหวงจิงจิงถูกลักพาตัว เขาถูกกดดันจากเบื้องบนจนไม่สามารถสืบสวนเรื่องนี้ให้กระจ่างได้ จึงรู้สึกผิดในใจมาตลอด เมื่อได้พบกับเหอเจ๋ออีกครั้ง เขาจึงกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “สวัสดีครับ คุณเหอ ผมได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนโทรแจ้งว่าตัวเองเสพยาเสพติด เกิดอะไรขึ้นครับ?”
เหอเจ๋อเบะปาก เหอโฮ่วฮวาที่ทำสีหน้าเหมือนพ่อแม่ตายเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
หลังจากที่โอวเทียนเหิงฟังจบ เขาก็มองไปที่เหอโฮ่วฮวาด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนจะไม่คาดคิดว่าหมอนี่จะยอมมอบตัว
“ทั้งการลักพาตัวและการเสพยาเสพติด ล้วนเป็นความผิดร้ายแรง แต่เนื่องจากคุณยอมมอบตัว จึงจะพิจารณาลดโทษให้”
เหอโฮ่วฮวา รู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก ใครอยากจะมอบตัวกันเล่า!
เหอเจ๋อฉวยโอกาสนี้ เดินตรงไปที่รถออฟโรดแล้วอุ้มกวนหลิงที่หมดสติอยู่ที่เบาะหลังออกมา
“พวกแกทำอะไรกับตัวประกัน!” โอวเทียนเหิงถาม เหอโฮ่วฮวาเสียงดังด้วยความโกรธ
เหอโฮ่วฮวาผ่านการถูกโจมตีทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง จึงยอมจำนนและสารภาพอย่างซื่อสัตย์ว่า “เธอโดนยาสลบ ต้องใช้เวลา 72 ชั่วโมงถึงจะฟื้น”
โอวเทียนเหิงขมวดคิ้วทันที ดึงเหอเจ๋อออกมาคุยกันเงียบ ๆ ว่า “พวกเราไม่ใช่คนอื่น ไม่ต้องปิดบังกัน ตำรวจมีเวลาควบคุมตัวแค่ 24 ชั่วโมง ถ้าผู้เสียหาย คุณกวนหลิง ยังไม่ฟื้น ก็ไม่สามารถตั้งข้อหาพวกมันได้ ต้องปล่อยตัว”
เหอโฮ่วฮวาคิดเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนแจ้งตำรวจแล้ว เขาถึงกล้าเล่าเรื่องราวอย่างไม่เกรงกลัว ตราบใดที่กวนหลิงยังสลบอยู่และไม่ชี้มาที่ตัวเขา ทุกอย่างก็เป็นแค่ลมปาก ถึงตอนนั้นเขาจะหาคนช่วยก็สามารถพ้นผิดได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงยิ้มเยาะเหอเจ๋ออย่างมีชัย พูดพึมพำว่า “ไอ้หนู แกยังอ่อนหัดเกินไปที่จะสู้กับฉัน”
เหอเจ๋อไม่สนใจคำท่าทายของเขา ถามว่า “คุณตำรวจ งั้นหมายความว่า ถ้ากวนหลิงฟื้นภายใน 24 ชั่วโมง เธอก็สามารถชี้ตัวคนร้ายได้งั้นสิ”
โอวเทียนเหิงพยักหน้า
“ดี งั้นก็ง่ายเลย” เหอเจ๋อถอนหายใจโล่งอก ยิ้มออกมา
เหอโฮ่วฮวาเบะปากเยาะเย้ย “ยาสลบนี่เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น ไม่มีทางแก้ได้หรอก”
เหอเจ๋อหัวเราะอย่างมั่นใจ “พูดถึงเรื่องการแพทย์ พวกเราเป็นต้นตำรับ บรรพบุรุษอย่างเราจะจัดการอะไรไม่ได้เชียวเหรอ”
ทุกคนพากันหัวเราะ มีเพียงเหอโฮ่วฮวาที่พูดอย่างเย้ยหยัน “คางคกยังพูดได้น่าฟังกว่า จริง ๆ แล้วมีความสามารถแค่ไหนกันเชียว”
เหอเจ๋อไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย จึงหยิบกล่องเข็มที่พกติดตัวออกมา เขาสูดหายใจลึก เล็งจุดฝังเข็มอย่างแม่นยำ แล้วจึงปักเข็มเงินลงไปอย่างรวดเร็วและเที่ยงตรง
เข็มเงินถูกส่งผ่านพลังปราณที่มองไม่เห็นและไร้สี ไหลย้อนขึ้นไป ทุก ๆ ที่ที่พลังปราณไหลผ่าน อวัยวะที่เป็นอัมพาตในร่างกายของกวนหลิงก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันที
หลังจากการไหลเวียนครบหนึ่งรอบ กวนหลิงก็สะดุ้งตัวขึ้น เธอลุกขึ้นนั่งทันที มือและเท้าสะบัดไปมา พร้อมกับกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวว่า “ช่วยด้วย!”
เหอเจ๋อรีบดึงเข็มเงินออก นำพลังปราณที่เหลืออยู่ออกมา แล้วเอามือจับไหล่ของเธอไว้ ปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ใจเย็น ๆ เธอปลอดภัยแล้ว”
MANGA DISCUSSION