บทที่ 93 ตีผิดคน
พอผู้จัดการเห็นดาวโจรร้ายพุ่งตรงเข้ามาหาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด เข่าแทบทรุด พูดด้วยสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ว่า “พี่ใหญ่ พี่มีธุระอะไรก็บอกมาตรง ๆ เถอะครับ เราไม่ต้องลงไม้ลงมือกันได้ไหม”
เหอเจ๋อเห็นเขายอมร่วมมือแต่โดยดี จึงล้มความคิดที่จะสั่งสอนสักหน่อยไปก่อน ถามด้วยความร้อนใจว่า “นายเห็นผู้ชายสองคนอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งออกไปจากที่นี่ไหม”
“สองชายหนึ่งหญิง?” ผู้จัดการอึ้งไปครู่หนึ่ง เกาหัวแล้วพูดว่า “เมื่อคืนเห็นหลายคู่อยู่นะ กอดรัดกันขึ้นไปข้างบน ผมยังเป็นคนเปิดห้องให้เลย…”
“ฉันหมายถึงเมื่อกี้!”
“ผมไปโรงพยาบาลพันนิ้วมา ไม่ทราบครับ”
ผู้จัดการเห็นสีหน้าของเหอเจ๋อเริ่มไม่ดี จึงรีบคิดแผน พูดว่า “ที่นี่มีกล้องวงจรปิด เราไปดูที่ห้องควบคุมได้”
“แล้วนายยังยืนบื้ออยู่อีกทำไม รีบนำทางไปสิ!”
ผู้จัดการทำท่าเหมือนภรรยาตัวน้อยที่ถูกข่มเหยียด ปิดนิ้วที่พันผ้าพันแผลอย่างแน่นหนานำเหอเจ๋อไปที่ห้องควบคุม
สามนาทีต่อ หัวหน้าหน่วยควบคุมที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการไหล่หลุด ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นำภาพจากกล้องวงจรปิดออกมา
หลังจากที่จดจำป้ายทะเบียนรถที่แล่นออกไปและทิศทางที่มันจากไปได้แล้ว เหอเจ๋อก็รีบวิ่งออกไป ทิ้งให้หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยและผู้จัดการโรงแรมยืนตาค้างอยู่ตรงนั้น
หลังจากที่ออกมาข้างนอกแล้ว เหอเจ๋อก็เจอปัญหาอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือพลังชี่ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถวิ่งไล่รถยนต์สี่ล้อได้
บังเอิญในเวลานั้น รถสปอร์ตสีแดงคันหนึ่งก็มาจอดอยู่ตรงหน้าเหอเจ๋อ กระจกสีดำของรถเลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตากำลังยิ้มเยาะ “ดูเหมือนว่าคุณต้องการความช่วยเหลือหน่อยนะ?”
ตอนแรก เหอเจ๋อก็รู้สึกตกใจที่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ไม่คิดว่าเฉินจิ้งหมิ่น คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฉินจะมาปรากฏตัวที่นี่ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจว่าการช่วยชีวิตคนสำคัญที่สุดโดยไม่สนใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย เขากระโดดขึ้นรถแล้วพูดว่า “ช่วยตามรถออฟโรดสีขาวคันนั้นไปที”
“ตกลง!” เฉินจิ้งหมิ่นยิ้มมุมปาก เหยียบคันเร่งจนมิด รถสปอร์ตสีแดงก็พุ่งทะยานออกไปราวกับเปลวเพลิง พุ่งผ่านถนนทั้งสาย
สิ่งที่ทำให้เหอเจ๋อประหลาดใจก็คือเฉินจิ้งหมิ่นที่ดูภายนอกเรียบร้อยเหมือนคุณหนูทุกประการ แต่กลับขับรถได้บ้าบิ่นราวกับคนเสียสติ ขับรถในเขตเมืองด้วยความเร็วกว่า 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่กล้าหาญมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกหน้าซีดเผือด พูดตะกุกตะกักว่า “เรา… เราค่อย ๆ ช้าลงหน่อยเถอะ นี่คือการไปช่วยชีวิตคน ถ้าเกิดอะไรขึ้น เราไม่ได้ช่วยเขา แถมยังเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วย คงไม่คุ้มกัน”
เฉินจิ้งหมิ่นหัวเราะลั่น ไม่เพียงแต่เธอไม่ได้ลดความเร็วลง แต่เธอกลับเหยียบคันเร่งแรงขึ้น
สวีอี้ไฉไม่ได้คิดเลยว่าจะมีคนขับรถตามเขามา หรือแม้แต่จะคิดว่าเหอเจ๋อจะออกมาได้ เขายังคงคิดเพ้อฝันถึงแผนการที่วางไว้ว่าหลังจากที่กองกำลังเสริมมาถึง พวกเขาจะสามารถจับเหอเจ๋อได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เมื่อรถสปอร์ตสีแดงขับมาขวางเขาไว้สวีอี้ไฉจึงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขารีบเปิดประตูรถลงไปแล้วถามด้วยความโมโหว่า “นี่คุณขับรถยังไง ไม่รู้จักมองทางหรือไง การเปลี่ยนเลนแบบกระทันหันแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ”
เหอเจ๋อเปิดประตูรถลงมา หัวเราะเยาะ “นายก็รู้ว่าคำว่ากฎหมายเขียนยังไงสินะ”
พอเห็นหน้าเขา สีหน้าของสวีอี้ไฉก็เปลี่ยนไปทันที ไม่พูดอะไรสักคำ หันหลังกระโดดขึ้นรถ
เหอเจ๋อจะยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ได้อย่างไร เขาสามก้าวไปถึงตัวสวีอี้ไฉ คว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาแล้วกระชากอย่างแรง
ปัง!
ร่างกายหนักกว่าสองร้อยกิโลกรัมของสวีอี้ไฉกระแทกลงบนพื้น เตะฝุ่นขึ้นมาเป็นกลุ่มใหญ่
สถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันนั้นอยู่ริมถนนหลวงที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ไม่อย่างนั้นแค่ท่านี้ท่าเดียว คงจะดึงดูดผู้คนมากมายให้มาดูและส่งเสียงเชียร์
สวีอี้ไฉไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เหมือนหมูอ้วนที่กำลังจะถูกฆ่ากลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นดิน ร้องโวยวายว่า “แกไอ้เด็กเวร กล้าด่าฉันเหรอ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ถ้าแน่จริงก็ลองตีฉันอีกทีสิ”
เหอเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตบหน้าสวีอี้ไฉไปสองฝ่ามือ
ใบหน้าอ้วนท้วนของสวีอี้ไฉบวมเป่งเหมือนซาลาเปาสองลูก บีบจนมองไม่เห็นรูปหน้า เขาสบถว่า “บ้าเอ๊ย! แกกล้าตีฉันจริง ๆ เหรอ”
เหอเจ๋อยักไหล่ พูดอย่างจริงใจ “ฉันมีชีวิตอยู่มาตั้งนาน เพิ่งเคยเจอคำขอแปลก ๆ แบบนี้ ก็เลยไม่อยากพลาดโอกาสทองไงล่ะ”
เหอโฮ่วฮวาตกใจแทบสิ้นสติ เหงื่อแตกพลั่ก กว่าจะตั้งสติได้ก็เผลอสบถด่าออกมาว่า “พวกแกบ้าไปแล้วรึไง! นั่นมันพวกเดียวกัน!”
“…” สวีอี้ไฉได้แต่นิ่งเงียบ
ระหว่างนั้นเอง ที่ไกลออกไปก็มีรถตู้โผล่มาจอดเทียบกันสี่คัน จากนั้นก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณยี่สิบกว่าคนถือกระบองเหล็กลงมาจากรถ พวกเขามีท่าทีกร่างและเย่อเหยิง
พอเห็นว่ากองเสริมมาถึง เหอโฮ่วฮวาก็ดีใจจนเนื้อเต้น กลับมามีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง เขาโดดลงจากรถแล้วตะโกนเรียวนายหน้ากลุ่มอันธพาลว่า “เหล่าหม่า! เห็นไอ้เด็กนั้นไหม? จัดมันให้หนักเลย! จะพิการหรือตายก็ไม่ว่า ฉันรับผิดชอบเอง! เสร็จงานนี้เอาไปสองแสน!”
พอได้ยินคำว่าเงิน ตาของพวกอันธพาลก็เป็นประกาย พวกใจร้อนสองคนพุ่งเข้าหาสวีอี้ไฉแล้วฟาดกระบองลงไปทันที
“โอ๊ย!” สวีอี้ไฉร้องลั่น ขมับซ้ายมีเลือดไหลอาบ เขาพยายามตะโกนบอกทั้งที่ปากเจ็บจนพูดแทบไม่รู้เรื่อง “ตีผิดคนแล้ว! บ้าเอ๊ย! ฉันพวกเดียวกับพวกคุณ!”
อันธพาลหัวทองทั้งสองแสยะยิ้มอย่างหยิ่งผยอง “ใครเป็นพวกเดียวกับแก? คิดว่าพวกฉันโง่เหรอ? จัดมันเลยพวกนี้ มันมีตั้งสองแสน!”
ว่าจบก็ฟาดกระบองเหล็กใส่หน้าผากของสวีอี้ไฉอีกครั้ง
เหอเจ๋อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความตกตะลึง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ชูนิ้วโป้งให้ “พี่ชาย เล่นงานได้สวยมาก ฝีมือขนาดนี้ผมยอมแพ้เลย”
อันธพาลหัวทองโบกมืออย่างอวดเก่ง “เรื่องเล็กน้อย อย่าพูดถึงมันเลย คราวหน้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ เอ่อ… คุณชาย จะจ่ายเงินกันตรงไหนดี?”
จากนั้นเหอโฮ่วฮวาก็พูดขึ้นมา “จะบ้ารึไง แกตีผิดคนแล้ว”
อันธพาลผมทองทั้งสองคนงงงัน มองดูสวีอี้ไฉที่นอนจมกองเลือดด้วยสีหน้าไม่รู้จะทำอย่างไร
หม่าเถิงเห็นสถานการณ์จึงต้องออกหน้า เขากระแอมเบา ๆ แล้วพูดอย่างเก้อเขินว่า “คุณชายเหอโฮ่วฮวา น้อง ๆ ของผมใจร้อนไปหน่อย ขอคุณอย่าได้ถือสาพวกเขาเลยนะครับ”
เหอโฮ่วฮวารู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะสืบสวนเรื่องนี้ จึงแค่ส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความโกรธแล้วพูดว่า “อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย รีบจัดการไอ้เด็กนั่นให้ฉันซะ”
อันธพาลผมทองรีบแก้ตัว ร้องตะโกนพลางโบกไม้ตะบองฟาดใส่ศีรษะของเหอเจ๋อ
“เมื่อกี้ยังกล้าหลอกฉัน ตายซะเถอะ!”
เหอเจ๋อถอยหลังหนึ่งก้าว หลบอย่างง่ายดาย ขณะที่ทั้งสองคนเสียหลักเพราะออกแรงมากเกินไป เขายกขาถีบขาของพวกนั้นคนละที
พวกหัวทองปลอมร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด คุกเข่าลงกับพื้น แล้วถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “นายไม่ได้บอกหรอกเหรอว่านายสู้ไม่ได้?”
เหอเจ๋อกลอกตาแล้วพูดว่า “ฉันบอกว่าฉันเป็นพ่อแก แล้วจะให้ฉันไปมีอะไรกับแม่แกจริง ๆ เหรอ?”
MANGA DISCUSSION