บทที่ 91 หนัก 150 กว่ากิโลกรัม
กวนหลิงครางเสียงดังออกมา ใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดจนเหงื่อไหลอาบหน้า เธอเม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองเขาด้วยความโกรธแค้น
“ดี ดี ดี ดูเหมือนเธอจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา งั้นวันนี้นายคนนี้จะเล่นกับเธอให้หนำใจไปเลย” จูเทียนหลินพูดด้วยความโมโห ก่อนจะหันไปตวาดใส่ยามทั้งสอง “จับผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้ไว้!”
ยามทั้งสองรับคำสั่งแล้วก็เข้าไปจับไหล่ของกวนหลิงไว้คนละข้าง จูเทียนหลินแสยะยิ้มอย่างหื่นกระหาย ก่อนจะยื่นมืออันหยาบกร้านไปหมายจะสัมผัสหน้าอกของเธอ
กวนหลิงดิ้นรนสุดแรงเกิด แต่แรงของผู้หญิงตัวคนเดียวจะไปสู้แรงของชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองคนได้อย่างไร เธอพยายามจนสุดกำลังแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้น
เมื่อเห็นมือของเขายื่นเข้ามาใกล้ เธอก็รู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด ในชีวิตนี้ เธอเป็นคนเข้มแข็งมาโดยตลอด ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าถ้าถูกเขาทำมิดีมิร้ายไปแล้ว เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
“ฮ่าฮ่า เธอไม่ชอบถ่ายรูปเหรอ? งั้นวันนี้ฉันคนนี้จะถ่ายรูปเธอแบบเปลือยเปล่าแล้วเอาไปเผยแพร่ตามสื่อทุกช่องทาง ให้ทุกคนได้ชื่นชมเธอกันให้เต็มที่ไปเลย”
จูเทียนหลินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะจับคอเสื้อของกวนหลิงแล้วกระชากออกอย่างแรง
แควก!
กวนหลิงร้องเสียงหลง ร่างกายท่อนบนของเธอเกือบทั้งหมดเผยออกมา เหลือเพียงชุดชั้นในที่ปิดบังส่วนสำคัญไว้เท่านั้น
สายตาลุกวาวของผู้ชายทั้งห้องจ้องมองมาที่กวนหลิงด้วย เพราะลักษณะงานของเธอ ทำให้ปกติแล้วเธอแต่งตัวค่อนข้างมิดชิด แต่รูปร่างของเธอกลับดูเย้ายวนไม่แพ้นางแบบทั่วไป
เหอโฮ่วฮวาตาแทบถลนออกมาจากเบ้า น้ำลายไหลยืด พูดออกมาด้วยความหื่นกระหายว่า “วันนี้ผู้หญิงคนนี้ พวกเราต้องได้กันทุกคน รอสักพัก อย่าใจร้อน ค่อย ๆ ทีละคน”
กวนหลิงรู้สึกอับอายจนแทบอยากจะตาย ดวงตาของเธอมีน้ำตาไหลริน เมื่อนึกถึงความบริสุทธิ์ที่รักษามา 20 กว่าปี กำลังจะถูกพวกสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ทำลาย เธอจึงตัดสินใจตายเสียดีกว่า เธอหลับตาลง กัดลิ้นตัวเองแน่น…
โครม!
ทันใดนั้น เสียงดังสนั่น ทำให้ทุกคนในห้องตกตะลึง เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายหนุ่มอายุ 20 กว่า ๆ ยืนอยู่ที่ประตู
เฝิงเหล่ยขมวดคิ้ว ตะคอกเสียงดังว่า “ใครอนุญาตให้แกเข้ามา? ไสหัวไป!”
ชายหนุ่มไม่สนใจเขาเลย มองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วหันไปพูดขอโทษกวนหลิงที่มุมห้องซึ่งยังคงมีน้ำตาไหลอาบแก้มว่า “ขอโทษที่มาช้า ขอเวลาฉันสักครู่”
กวนหลิงร้องไห้โฮออกมา แตกต่างจากเมื่อครู่ น้ำตาครั้งนี้เต็มไปด้วยความหวานและดีใจ
คนที่ไม่เคยสิ้นหวังคงยากจะจินตนาการถึงความตื่นเต้นจากก้นบึ้งหัวใจ เมื่อจู่ ๆ ก็มีคนมาช่วยชีวิตในยามที่ตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายหนุ่มที่เข้ามาตอนนี้คือเหอเจ๋อ หลังจากที่เขาได้รับโทรศัพท์ เขาก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่ และหลังจากที่เขาหักนิ้วของผู้จัดการร้านไปสองนิ้ว เขาก็ได้ที่อยู่ห้องนี้มา
เขาผู้นั้นเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เพียงได้กลิ่น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าพวกมันทำอะไรกันในห้อง
“สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือ ผู้ชายที่รังแกผู้หญิง เพราะงั้น…” จู่ ๆ เขาก็ก้าวเข้ามา เผยให้เห็นฟันขาวราวกับหิมะ รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความดิบเถื่อน
“พวกแกต้องตาย!”
“ไอ้หนู แกคิดว่านี่มันละครทีวีหรือไง? แล้วแกเป็นพระเอกงั้นสิ? วันฉันจะสอนให้รู้ซะว่า อย่าสะเออะมาทำเก๋า ถ้ายังไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ!” เฝิเหล่ยพูดเยาะเย้ย ราวกับได้ยินเรื่องตลก
สิ้นคำพูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ก่อนจะปล่อยหมัดพุ่งตรงไปที่หัวของเหอเจ๋อ
เขาเคยชกมวยใต้ดินมาก่อน มือของเขาเคยปลิดชีวิตคนมานับไม่ถ้วน หมัดของเขาจึงรวดเร็ว รุนแรง และเฉียบคม จนคนทั่วไปไม่อาจหลบได้ทัน
เหอเจ๋อยืนนิ่งราวกับตกตะลึง ไม่ขยับเขยื้อน รอรับหมัดอันทรงพลังที่กำลังจะกระแทกเข้าที่ใบหน้า
“เหอะ แค่นี้ก็กล้ามาท้าทายหัวหน้าเฝิง ตลกสิ้นดี” เหล่าบอดี้การ์ดหัวเราะเยาะ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เห็นเหอเจ๋ออยู่ในสายตา
ทว่า ฉากที่เกิดขึ้นต่อหน้ากลับทำให้ขากรรไกรของพวกเขาแทบหลุด
เฝิงเหล่ยที่เป็นฝ่ายชก กลับร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดทรมาน ร่างกายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
ในทางกลับกัน เหอเจ๋อที่ถูกตบกลับเผยรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างน่าประหลาด
เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า หมัดตรง ๆ ที่ไร้ซึ่งเทคนิคใด ๆ พุ่งเข้าซัดใบหน้าของเฝิงเหล่ยอย่างจัง
ปัง!
ร่างกายใหญ่โตกว่าสองร้อยเซนติเมตรของเฝิงเหล่ยล้มลงเหมือนกระสอบทรายใบยักษ์ กระแทกเข้ากับผนังจนเกิดเสียงดังสนั่น
ทุกคนในห้องต่างเบือนหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกด้วยความตกใจ ส่วนเฝิงเหล่ยผู้เคราะห์ร้ายก็หมดสติล้มพับไป
เหอเจ๋อค่อย ๆ ดึงหมัดกลับ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษด้วย ฉันคือพระเอก!”
ภายในห้องวีไอพีเงียบกริบราวกับป่าช้า ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อราวกับเห็นผี
เหอเจ๋อไม่ได้สนใจท่าทีของพวกเขา น้ำตาที่ปรากฏขึ้นที่หางตาของกวนหลิงได้จุดไฟโทสะในใจของเขา เขาเดินตรงไปหาจูเทียนหลินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าคอเสื้อของจูเทียนหลินขึ้นมาเหมือนกับอุ้มตุ๊กตาตัวใหญ่
จูเทียนหลินตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเท้าลอยพ้นจากพื้นก็ได้สติ รีบร้องเสียงดังลั่น
“แก… แกจะทำอะไร! พวกยามอยู่ไหน รีบมาปกป้องฉันเร็ว! พวกแกยังอยากทำงานที่นี่อีกหรือเปล่า!”
พวกรปภ.มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่าจึงฮึดสู้ พากันกรูเข้าไป
เหอเจ๋อหัวเราะลั่น ใช้แขนอันทรงพลังคว้าตัวจูเทียนหลินที่หนัก 150 กว่ากิโลกรัม หมุนเป็นอาวุธ
บอกเลยว่า ‘อาวุธมนุษย์’ ชิ้นนี้ใช้ได้ผลดีมาก ใครหน้าไหนก็ไม่อยากปะทะกับร่างหนัก 150 กว่ากิโลกรัมให้ซวยเล่น ต่างก็หลบกันจ้าละหวั่น
ชั่วพริบตา ห้องส่วนตัวเล็ก ๆ ก็วุ่นวายราวกับไก่โต้งไล่จิก โกลาหลไปหมด
แต่คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็นจูเทียนหลิน เขาคลื่นไส้ โลกหมุนจนอาเจียนออกมา
คราวนี้อาวุธมนุษย์กลายเป็นอาวุธชีวภาพ พวกรปภ.ต่างก็แตกตื่น ถอยห่างราวกับเจอสิ่งน่ารังเกียจ
เหอโฮ่วฮวา ผู้ที่เจ้าเล่ห์ที่สุดในกลุ่ม เห็นท่าไม่ดีจึงส่งสายตาให้สวีอี้ไฉ ทั้งสองคนอาศัยช่วงชุลมุนวิ่งไปที่กวนหลิง แล้วพากันลากเธอหนีไปทางมุมห้อง ก่อนจะล็อกประตูขังทุกคนไว้ข้างใน
ด้วยความวุ่นวาย ในห้องไม่ถึงสามสิบตารางเมตร เบียดเสียดกันอยู่สิบกว่าคน บวกกับอาวุธชีวภาพที่กำลังไล่ถล่ม เหอเจ๋อจึงไม่ได้ทันสังเกต จนกระทั่งทุกคนยอมศิโรราบ หมอบลงกับพื้น เขาก็เพิ่งหันไปเห็นว่ากวนหลิงหายไปจากโซฟา
สีหน้าเหอเจ๋อเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาด่าทอตัวเองในใจอย่างขุ่นเคือง คว้าตัวรปภ.คนหนึ่งที่นอนสลบอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เมื่อกี้ใครมันหนีไป”
รปภ.ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว หน้าซีดเผือด ตอบตะกุกตะกัก “ไม่…ไม่ทราบครับ”
เหอเจ๋อรู้ดีว่าเวลามีค่า จึงไม่กล้ารีรอแม้แต่น้อย เขาผลักพนักงานรักษาความปลอดภัยออกไปอย่างแรง ก่อนจะกระโดดเตะใส่ประตูอย่างรุนแรง
MANGA DISCUSSION