บทที่ 89 ยาพิษหมีเจียนซ่าน
“ไอ้เด็กแสบ มาถึงก็ก่อเรื่องเลยนะ” หวงเทียนเหยาพูดหยอกล้อพลางเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับไม้เท้า
อาการป่วยเรื้อรังที่รบกวนเขามานานหลายปีหายไป ทำให้เขาดูสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยที่สุดตอนที่เขาด่าคน เสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
เหอเจ๋อหัวเราะแห้ง ๆ เขาต้องหยุดแกล้งเธอ เขาไอเบา ๆ แล้วพูดว่า “ แค่นั้นแหละ อาจารย์เรียกผมมาทำไม”
หวงเทียนเหยากลอกตาและพูดอย่างไม่พอใจว่า “เรียกแกมาคุยเรื่องแต่งงาน”
เหอเจ๋อถึงกับพูดไม่ออก แม้ว่าเขาจะชอบแกล้งหวงจิงจิง แต่เขาก็เติบโตในเมืองเล็ก ๆ อย่างหลินอันและเป็นคนหัวโบราณ เขายังคงให้ความสำคัญกับเรื่องการแต่งงาน อย่างน้อยที่สุดทั้งสองฝ่ายควรพบพ่อแม่ของกันและกันและได้รับความยินยอมจากพวกเขาก่อน
“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้…”
เห็นท่าทางลังเลบนใบหน้าของเขา หวงจิงจิงก็รู้สึกโล่งใจในตอนแรก แต่แล้วก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ความคิดของผู้หญิงก็เหมือนเข็มที่อยู่ก้นมหาสมุทร ยากที่จะคาดเดาได้
“ฮ่า ๆ ๆ อย่าฝันไปเลย อยากแต่งกับหลานสาวฉัน มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!” หวงเทียนเหยาหัวเราะลั่นและพูดติดตลก
เหอเจ๋อกลอกตา ถ้าไม่ติดว่าชายชรานี่อายุมาก เขาคงจะสั่งสอนให้รู้จักรสชาติของกำปั้นไปแล้ว!
หวงเทียนเหยาเรียกเขามาด้วยท่าทางรีบร้อน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก หลังจากล้อเล่นกันเสร็จ เขาก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฉันได้ยินจากหวงเหยียนว่านายกำลังสืบเรื่องยาพิษ ‘หมีเจียนซ่าน’ อยู่?”
เหอเจ๋อรู้สึกตกใจ รีบถามทันที “คุณมีเบาะแสอะไรบ้าง?”
ตอนนี้เขาเกือบจะมั่นใจแล้วว่าเป็นฝีมือของเติ้งหมิงเจี๋ย และภรรยา อาจจะแค่ขาดหลักฐานที่ชัดเจน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าพูดออกไปโดยพลการ อาจจะถูกพวกมันเอาคืนก็ได้
หวงเทียนเหยาลากเก้าอี้มานั่ง แล้วพูดด้วยท่าทางโอ้อวดว่า “คนเรามีชีวิตอยู่นาน ย่อมผ่านโลกมามาก…”
“นี่มันคนแก่ไม่ตายก็เป็นขโมย*[1]ชัด ๆ”
หวงเทียนเหยา “…”
เหอเจ๋อยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ เป็นสัญญาณให้เธอพูดต่อ
หวงเทียนเหยาส่งเสียง “ฮึ่ม” ในลำคอ เลิกทำท่าอวดรู้ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “น่าจะประมาณยี่สิบปีก่อน ที่เมืองกว่างหนานมีงานสัมมนาวิชาแพทย์ ตอนนั้นฉันในฐานะแพทย์มีระดับของท้องถิ่น…”
“แพทย์มีบัตรประชาชน?”
หวงเทียนเหยาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วพูดต่อ “ตอนนั้นหัวข้อคือการลืมความแตกต่างระหว่างสำนัก เรียนรู้ร่วมกัน พูดง่าย ๆ ก็คือให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนนำยาสูตรลับของตัวเองออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ฉันจำได้ราง ๆ ว่ามีหมอเติ้งคนหนึ่งนำสูตรยาพิษหายาก ‘หมีเจียนซ่าน’ ออกมา”
“หมอเติ้งงั้นเหรอ” เหอเจ๋อเบิกตากว้าง รีบถามอย่างร้อนรน “เขาชื่ออะไร เป็นคนแถวไหน ตอนนี้ยังติดต่อได้ไหม” คำถามสามข้อรวดของเขาดังราวปืนกลที่ถูกเหนี่ยวไก พุ่งเข้าใส่เป็นชุด
คราวนี้ถึงคราวหวงเทียนเหยา แกล้งทำเป็นเมินเฉย เงยหน้ามองท้องฟ้าราวกับไม่ได้ยินสิ่งใด
เหอเจ๋อรู้ดีว่าตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้กำลังรอให้เขายอมแพ้ แต่การยอมแพ้ง่าย ๆ ไม่ใช่สไตล์ของเขา เขาจึงกลอกตาไปมา ดึงกล่องใบเล็กที่พกติดตัวออกมาเปิดอย่างระมัดระวัง แล้วยื่นให้หวงเทียนเหยาดูแวบหนึ่ง
แม้หวงเทียนเหยาจะอายุมากแล้ว แต่สมัยหนุ่ม ๆ เขาเคยฝึกฝนวรยุทธ์ ดวงตาจึงยังเฉียบคม มองเห็นประกายเงินวาววับในกล่องราง ๆ ดูเหมือนจะเป็นเข็มเงินที่เรียงรายกันอยู่
โบราณว่าไว้ รักงานใดก็ทุ่มเทงานนั้น
หวงเทียนเหยาคลุกคลีอยู่ในวงการแพทย์มากที่สุดในชีวิต หากไม่รักจริงคงไม่มีทางอดทนมาได้ถึงเพียงนี้
เมื่อเห็นเข็มในกล่องที่ดูแตกต่างจากเข็มเงินทั่วไป ใจของเขาก็เต้นรัวราวกับเล่าปี่ได้พบเตียวเสี้ยนกับม้าเซ็กเธาว์ อยากรู้เหลือเกินว่า ‘ของดี’ ในกล่องนั้นคืออะไร
“ของดีอะไร รีบเอาออกมาอย่ามาอ้ำอึ้งน่า”
เหอเจ๋อยกมุมปากขึ้น ยิ้มอย่างลำพอง “อาจารย์บอกผมก่อน ผมถึงจะให้ดู”
หวงเทียนเหยาแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พูดอย่างจริงจัง “แกให้ฉันดูหน่อย ฉันจะบอกให้ วางใจเถอะ ฉันอายุขนาดนี้แล้ว จะหลอกแกได้ยังไง”
เหอเจ๋ออยากรู้ผลลัพธ์ใจจะขาด ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับหวงเทียนเหยา จึงยื่นกล่องไปให้
“เข็มเงินเจ็ดดารา?”
หวงเทียนเหยาเปิดกล่องออกดู ร้องเสียงหลงอย่างตกใจ เขาจับแขนเหอเจ๋อ พูดอย่างตื่นเต้น “นี่มันของล้ำค่าของตระกูลซุนไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาอยู่ในมือแกได้?”
เหอเจ๋อยิ้มแหะ ๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากฟังจบ หวงเทียนเหยาก็ถอนหายใจเฮือก ลูบกล่องเข็มที่ทำจากไม้จันทน์เนื้อดีเบา ๆ พลางพูด “เมื่อก่อนตระกูลซุนก็ถือเป็นตระกูลหมอที่มีชื่อเสียง ไม่นึกเลยว่าลูกหลานรุ่นหลังจะไม่เอาไหน ทำให้ตระกูลตกต่ำลงเร็วขนาดนี้”
เหอเจ๋อไหวไหล่ สุภาษิตจีนโบราณที่ว่า ความร่ำรวยไม่เกินสามรุ่น ไม่ได้พูดเกินจริงเลย สภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายที่พ่อแม่สร้างไว้ มักทำให้ลูกหลานลืมไปว่าการต่อสู้ดิ้นรนนั้นสำคัญแค่ไหน
“เอาละ ดูก็ดูแล้ว รีบ ๆ บอกมาเถอะว่าหมอเติ้งนั่นเป็นใคร มาจากไหน?”
หวงเทียนเหยายกมุมปาก พูดอย่างน่าสงสาร “เรื่องมันผ่านมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว ใครจะไปจำได้ละเอียดขนาดนั้น จำได้แค่นามสกุลอะไรก็บุญแล้ว”
เหอเจ๋อ “…”
เขาโกรธจนจมูกแทบบิดเบี้ยว ที่แท้ก็ถูกไอ้แก่นี่หลอกเสียเปล่า เขากัดฟันพูดอย่างแค้นเคือง “ตาเฒ่าหวง ที่อยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงอายุขนาดนี้ มันช่างไม่ง่ายเลยนะ”
หวงเทียนเหยาทำตัวไม่สมกับวัย หัวเราะชอบใจ
แม้เบาะแสนี้จะดูเหมือนหลอกลวง แต่ก็ชี้ทางใหม่ให้เขา กลับไปต้องหาทางค้นข้อมูลของเติ้งหมิงเจี๋ย น่าจะพบร่องรอยบางอย่างได้
มาถึงแล้ว ถ้าไม่อยู่กินข้าวสักมื้อก็ดูจะไม่เหมาะ
ตอนเที่ยง หวงจิงจิงเข้าครัวทำอาหารจานโปรดมากมาย แม้จะไม่หรูหราเหมือนร้านอาหาร แต่ก็อร่อยและสะอาด
ทุกคนเป็นหมอ จึงคุยกันไม่พ้นเรื่องงาน เพื่อนร่วมอาชีพมักเป็นศัตรูกัน พูดไม่กี่คำก็เถียงกันเพราะความเห็นไม่ตรงกัน
เหอเจ๋อมีพื้นฐานความรู้ดี อ่านตำราแพทย์มานับไม่ถ้วนตั้งแต่เด็ก ความรู้ทฤษฎีจึงแน่นปึ้ก
ส่วนหวงเทียนเหยาเป็นหมอมาทั้งชีวิต สั่งสมประสบการณ์มามากมาย
ทั้งสองคนต่างมีจุดเด่น ถกเถียงกันจนน้ำลายแห้ง ก็ยังไม่อาจโน้มน้าวอีกฝ่ายได้
หวงเหยียนกับถานเหวยซ่งฟังจนลิ้นชา พูดแทรกอะไรไม่ออกสักคำ ต้องรู้ไว้เลยว่าคนที่กล้าต่อปากต่อคำกับหวงเทียนเหยานั้นล้วนแต่เป็นผู้วิเศษทางการแพทย์ที่โด่งดังมาหลายปีแล้วทั้งนั้น หนุ่มน้อยอย่างเหอเจ๋อนี่นับเป็นคนแรกเลย
“เสี่ยวเหอ วิธีของนายมันดูเหมือนจะสะดวกก็จริง แต่ไม่เคยได้ยินคำว่า สูงแต่ตา ต่ำแต่ฝีมือหรือไง พอลงมือทำจริง ๆ มันแย่กว่าวิธีโง่ ๆ ของฉันอีกนะ” หวงเทียนเหยาพูดอย่างมั่นใจ ดวงตาเบิกกว้าง
[1] คนแก่ไม่ตายก็เป็นขโมย (老而不死是为贼) เป็นสำนวน ถือเป็นการตำหนิคนแก่แต่ไม่มีคุณธรรม
MANGA DISCUSSION