บทที่ 81 เรื่องซุบซินในตระกูลเย่
เมื่อเหล่าคนรับใช้เห็นซุนไห่หมิงพูดออกมาอย่างไม่ยี่หระเช่นนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบทเรียนจากเรื่องราวของเหล่าหลัว พวกเขาจึงไม่กล้าเชื่อใจซุนไห่ง่าย ๆ
อย่างไรก็ตาม เขากลับดูมั่นใจอย่างมาก ถึงขั้นหันไปมองเหอเจ๋อพร้อมกับแสยะยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์พลางเอ่ยว่า “คุณอยากลองดูไหม? เดี๋ยวพอผมกินยาเข้าไปแล้ว ถ้าหายดีขึ้นมา คุณก็หมดโอกาสแล้วนะ”
เขานี่มันช่างไร้ยางอายเสียจริง กล้านำคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่มาพูดซ้ำโดยไม่เปลี่ยนแปลง
เหอเจ๋อเบะปากเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “คุณอย่าใช้วิธีฆ่าศัตรูหนึ่งคน แล้วสร้างความเสียหายนับแสนต่อคนอื่นอีกนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวผมก็ต้องมาคอยตามเช็ดตามล้างให้อีก”
พูดจบ เขาก็ยื่นนิ้วสองนิ้วไปวางบนข้อมือของหญิงสาว สักพักต่อมา คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“คุณหมอ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
เหอเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่หญิงสาว พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “คุณแน่ใจเหรอว่าคุณรู้สึกไม่สบาย?”
หญิงสาวถึงกับชะงัก ดวงตากลมโตหลุกหลิกไปมาพลางตอบว่า “แน่นอนสิคะ ฉันรู้สึกวิงเวียนศีรษะมากเลยค่ะ”
เหอเจ๋อแสดงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า “คุณกำลังโกหก คุณไม่ได้ป่วยอะไรเลยสักนิด!”
ผู้คนรอบข้างต่างพากันงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
หญิงสาวมีสีหน้าร้อนรน พยายามแก้ตัวพัลวันว่า “เหลวไหล ฉันเวียนหัวจะเป็นจะตาย ไหนเลยจะไม่มีโรค ฉันบอกแล้วว่าหมอคนนี้ไม่เก่ง ถ้าคุณจะไม่รักษาก็พูดมาตรง ๆ ฉันจะไปหาหมอคนอื่นเอง”
ซุนไห่หมิงเองก็ร่วมวงตอกย้ำตามน้ำไปด้วยว่า “โธ่เอ๊ย ไม่เก่งก็บอกมาเหอะ ไม่เห็นต้องพูดมากเลย”
เขาเหล่มองไปรอบ ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ แล้วก็ทำเป็นร้องอ๋อขึ้นมาได้ “หรือว่าคุณกลัวแพ้เลยมาหาเรื่องผัดผ่อนแบบนี้”
พอเขาพูดจบ ทุกคนก็มองเหอเจ๋อด้วยสายตาแปลก ๆ เพราะเลือดปะการังมังกรนั้นมีมูลค่ามหาศาล การจะโกงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เหอเจ๋อทำหน้าเคร่งขรึม จ้องมองหญิงสาวตรง ๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ถ้าเป็นโรคทางประสาทอ่อนเพลีย เวียนหัว หน้ามืด ตาลาย ก็ต้องมีอาการอ่อนเพลีย ไม่ใช่เหรอ? แต่ดูเธอสิ หน้าตาแดงก่ำ พูดจาเสียงดังฟังชัด ไหนล่ะอาการของคนเป็นโรคประสาทอ่อน”
หญิงสาวเอามือกุมหน้าผาก แกล้งทำเป็นป่วย “ฉัน แค่มีความอดทนสูง เลยไม่ได้แสดงอาการออกมาต่างหาก”
ทั้งสองฝ่ายกำลังจะเข้าสู่สถานการณ์ที่ชวนอึดอัด ลุงหลัวที่กำลังนั่งพักอยู่ก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาจ้องมองหญิงสาวแล้วพูดว่า “อย่าโกหกเลยเหอชิวฮวา ตอนเช้าที่เราช่วยกันจัดสวน เธอยังดูไม่เห็นเป็นอะไรเลย แถม…”
พูดได้แค่นั้น เขาก็หยุดไปชั่วครู่ เหลือบตามองไปทางซุนไห่หมิง แล้วพูดต่อว่า “ครั้งที่แล้วตอนเธอคุยโทรศัพท์กับคุณชายซุน ฉันได้ยินหมดนะ เลิกโง่ได้แล้ว เธอแต่งงานแล้วนะ เขากำลังหลอกเธออยู่”
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง ต่างพากันกระซิบกระซาบไปมา
ความลับไม่มีในโลก สิ่งที่เหอชิวฮวากับซุนไห่หมิงทำ แม้จะปกปิดเป็นอย่างดีแต่ก็ยังคงมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้าง พอถูกลุงหลัวพูดเตือนขึ้นมา หลายคนก็เริ่มนึกถึงเรื่องราวที่เคยได้ยินผ่าน ๆ มาได้
“ใช่ เมื่อครั้งก่อนฉันก็เห็นคุณชายซุนกับเหอชิวฮวาทำลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยกัน”
“จริงด้วย ครั้งก่อนเหอชิวฮวาใส่จี้เพชรเม็ดใหญ่มาก ฉันถามว่าได้มาจากไหน เธอบอกว่าคุณชายซุนให้ ตอนนั้นฉันยังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมถึงให้เธอได้”
…
ทุกคนต่างก็พูดคุยกันเสียงเซ็งแซ่ เหอชิวฮวายิ่งหวาดกลัวยิ่งขึ้น จึงได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังซุนไห่หมิง
แต่ตอนนี้ซุนไห่หมิงเองก็เหมือนเทวดาตกส้วม ยากจะช่วยตัวเองได้ คงไม่มีเวลามาสนใจเธอ เขาได้แต่กลอกตาไปมา แสร้งทำเป็นไม่เห็น
เย่หวงเทาและเย่ซวงต่างก็ไม่ใช่คนโง่ พอเห็นท่าทีเช่นนี้ก็เข้าใจได้ทันที
“เหอชิวฮวา เธอสารภาพมาตามตรงว่าป่วยจริงหรือเปล่า” เย่หงเทาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
เย่หงเทาเป็นผู้มีบารมีในบ้านตระกูลเย่ ส่วนเหอชิวฮวาก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นร่างกายของเธอก็สั่นเทา น้ำตาคลอเบ้า พูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “ฉันโกหกค่ะ ฉันไม่ได้ป่วย”
เย่หงเทาโกรธจนตัวสั่น ตบโต๊ะเสียงดังลั่นพร้อมกับกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ปากก็บอกว่ารักษา ปากก็บอกว่าไม่สบาย แต่กลับโกหกได้ทุกเรื่องเช่นนี้! ใครจะไปเชื่อถือเธอได้อีก! เก็บข้าวของของเธอแล้วออกไปจากที่นี่ซะ!”
เหอชิวฮวาตื่นตระหนก ตระกูลเย่ปฏิบัติต่อคนรับใช้ดีมาก แทบจะไม่มีงานหนักอะไร แถมทุกเดือนยังได้เงินเดือนตั้งห้าพันกว่าหยวน เธอไม่อยากเสียงานนี้ไป
ในยามที่หวาดหวั่น เธอพลันนึกถึงซุนไห่หมิงที่เคยพร่ำสัญญารักกับเธอ จึงรีบร้อนขอความช่วยเหลือ “คุณชายซุน คุณต้องช่วยฉันนะ!”
ซุนไห่หมิงยังหวังจะแต่งงานกับตระกูลเย่ เขาจะยอมให้ใครรู้ได้อย่างไรว่าเขามีความสัมพันธ์กับหญิงที่มีสามีอย่างเธอ ตอนนี้หลบเลี่ยงความสัมพันธ์ยังแทบไม่ทัน จะไปช่วยเธอได้อย่างไร
“หึ ๆ ไม่คิดเลยว่าเธอจะหลอกลวงฉันได้ เลวร้ายจริง ๆ ถูกไล่ออกก็สมควรแล้ว”
คำพูดนั้นประดุจฟ้าผ่าลงกลางใจเหอชิวฮวา เธอทิ้งสามีและลูก ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับซุนไห่หมิง พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ จิตใจก็พังทลาย เธอกลายเป็นเหมือนคนเสียสติ พุ่งเข้าหาซุนไห่หมิงอย่างบ้าคลั่ง “ซุนไห่หมิง แกมันคนไร้ยางอาย ฉันจะสู้กับแก”
ซุนไห่หมิงตั้งตัวไม่ทัน ถูกเธอข่วนเป็นรอยเลือดที่แขน เขาโกรธจนตัวสั่น ตะคอกเสียงดัง “นังบ้า! อย่าใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ฉันไม่รู้จักเธอ”
เหอชิวฮวาโมโหจนแทบคลั่ง ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป หลุดปากตะโกน “ตอนนั้น แกหลอกฉันให้ขึ้นเตียง บอกว่าจะแต่งงานกับฉัน ตอนนี้กลับพูดแบบนี้ได้ยังไง”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างเบิกตากว้าง เหอชิวฮวา แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะงดงาม แต่เธอก็แต่งงานมีสามีแล้ว แถมลูกก็โตได้ 7-8 ขวบแล้ว
ซุนไห่หมิงแทบจะเป็นลม ตอนนั้นเขาแค่พูดไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเอาจริงเอาจัง
เห็นท่าไม่ดี เรื่องราวเริ่มบานปลาย ถ้ายังอยู่ต่อ ใครจะรู้ว่าอะไรจะออกมาจากปากผู้หญิงคนนี้อีก เขาจึงฝืนยิ้ม “ผู้หญิงคนนี้ใส่ร้ายผม ผมต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน ขอตัวก่อน”
พูดจบ เขาก็รีบหนีไปอย่างทุลักทุเล
เย่หงเทาและเย่ซวงสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความกังวลในแววตาของกันและกัน
“อะแฮ่ม ทุกคนเงียบก่อน” เย่หงเทาตบโต๊ะเบา ๆ รอจนทุกคนเงียบลง จึงกล่าวต่อว่า “กลับไปได้แล้ว เรื่องวันนี้ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด”
เหล่าคนรับใช้ทยอยกันออกไป ห้องอาหารที่เคยครื้นเครงพลันเงียบสงัดในพริบตา
เย่หงเทาหยิบกล่องเข็มเงินเจ็ดดาราบนโต๊ะขึ้นมาส่งให้กับเหอเจ๋อ
“นี่…นี่คือ?” ถึงแม้ในใจจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เหอเจ๋อก็ยังอดแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้
“รับไปเถอะ ของสิ่งนี้เป็นของคุณอยู่แล้ว ผมแค่ยืมดอกไม้ไปบูชาพระพุทธรูปเท่านั้นเอง” เย่หงเทาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เหอเจ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างเสแสร้งอีกต่อไป การมีเข็มเงินเจ็ดดาราจะช่วยให้เขาฝึกฝนวิชาฝังเข็มเก้าวิถีที่ใช้พลังลมปราณได้อย่างมากมาย เทคนิคต่าง ๆ ที่เขาเคยเรียนรู้มาก่อนหน้านี้ ก็สามารถนำมาใช้ได้จริงเสียที
MANGA DISCUSSION