บทที่ 76 เมืองหลวงเยี่ยนจิง
เมื่อเครื่องบินลงจอด เหอเจ๋อเดินออกจากห้องโถงของสนามบิน เขายังคงรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย ตอนกินอาหารเช้ายังอยู่ที่เมืองกว่างหนาน แต่พอถึงเวลาอาหารกลางวันก็มาถึงเมืองเยี่ยนจิงที่อยู่ห่างออกไปพันลี้แล้ว
ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันพัฒนาไปเร็วมาก วิธีการเดินทางของผู้คนสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนหลายพันเท่า
ทั้งสามคนเพิ่งเดินออกจากห้องโถงของสนามบิน ชายหนุ่มผมสั้นท่าทางคล่องแคล่วก็รีบวิ่งเข้ามา สายตาของเขากวาดมองรูปร่างอวบอิ่มของเย่ซวงก่อน แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ซวนเอ๋อร์ เธอกลับมาเสียที ฉันเป็นห่วงแทบแย่ ได้ยินว่าเธอบาดเจ็บ ไม่เป็นไรใช่ไหม? ให้ฉันดูอาการให้ไหม?”
เย่ซวงถอยหลังครึ่งก้าวอย่างไม่แสดงอาการใด ๆ เพื่อเว้นระยะห่างจากเขา แล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ขอบคุณพี่ซุนที่เป็นห่วง อาการบาดเจ็บของฉันได้รับความช่วยเหลือจากคุณเหอแล้ว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“คุณเหอ?” ซุนไห่หมิงหันไปมองเหอเจ๋อที่กำลังมองซ้ายมองขวาเหมือนคนบ้านนอกเข้าเมือง ดวงตาของเขาฉายแววดูถูกเล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้งว่า “คุณก็เข้าใจเรื่องการแพทย์ด้วยเหรอ? จบจากมหาวิทยาลัยไหน?”
เหอเจ๋อเพิ่งมาเมืองหลวงของประเทศจีนเป็นครั้งแรก ทุกอย่างล้วนแปลกตาสำหรับเขา เมื่อได้ยินว่ามีคนพูดกับตน จึงหันมาตอบว่า “ผมไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัย เรียนรู้มาจากแม่ครับ”
ซุนไห่หมิงแสดงสีหน้าดูถูกชัดเจนขึ้น เบ้ปากแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เรียนมาแบบนอกระบบนี่เอง ผมเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เยี่ยนจิงมาสามปี วันหลังเราลองมาประลองฝีมือกันไหม?”
เหอเจ๋อได้ยินดังนั้นก็ดีใจขึ้นมาทันที แต่ก่อนแม่ของเขามักบอกเสมอว่า การปิดตัวเองอยู่แต่ในกรอบย่อมยากที่จะประสบความสำเร็จใหญ่ มีเพียงการรวบรวมจุดเด่นของทุกสำนักเท่านั้นจึงจะสามารถบรรลุถึงขั้นสูงสุดได้ เขาจึงพูดอย่างยินดีว่า “ได้เลยครับ ได้เลย ยินดีอย่างยิ่ง”
ซุนไห่หมิงหัวเราะเยาะ ชูนิ้วโป้งขึ้นแล้วพูดเย้ยหยันว่า “ฉันชอบความกล้าอันไร้เดียงสาของนาย ไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้นหรอก วันนี้เลยดีไหม?”
เหอเจ๋อกำลังจะเปิดปากตอบตกลง แต่เย่ซวงรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า “คุณเหอเดินทางมาทั้งวัน คงจะเหนื่อยมาก พี่ซุน เรื่องการประลองนั้น ขอเลื่อนไปวันหลังได้ไหมคะ”
การปกป้องของเธอทำให้ซุนไห่หมิงหงุดหงิดมากขึ้น แต่เพื่อรักษาหน้าเธอ เขาจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะสั่งสอนไอ้บ้านนอกคนนี้
เขาดีดนิ้วแล้วชี้ไปที่รถสปอร์ตเปิดประทุนสุดเท่ที่อยู่ไม่ไกล เขาหันไปมองเย่ซวงแล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เหนื่อยจากการเดินทางสินะ ฉันเตรียมรถไว้แล้ว เดี๋ยวจะไปส่งเธอกลับบ้านพักผ่อนนะ”
เย่ซวงกลอกตาแล้วชี้ไปที่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่น้อยด้านหลัง พูดอย่างอ้อมค้อมว่า “พวกเราเอาของมาเยอะ สามคนคงนั่งไม่พอ”
ซุนไห่หมิงเบ้ปาก พูดว่า “ให้พวกเขานั่งแท็กซี่กลับไปก็ได้นี่ ฉันจองโต๊ะที่ร้านนอร์แมนไว้แล้ว นี่เป็นร้านอาหารสำหรับคู่รักที่หรูหราที่สุดในโลก เราสามารถ…”
เย่ซวงพูดขัดขึ้นมาอย่างสุภาพแต่เด็ดขาดว่า “ฉันจากบ้านมานานแล้ว มีหลายเรื่องที่รอให้ฉันไปจัดการ ต้องรีบกลับโดยเร็วที่สุด ขอบคุณพี่ซุนสำหรับความหวังดีนะคะ”
ซุนไห่หมิงอ้าปากจะพูดอะไรอีก แต่พอดีตอนนั้นคนของตระกูลเย่ก็มาถึง เย่ซวงเรียกพวกเขา เหอเจ๋อและพ่อบ้านเจิ้งช่วยกันขนกระเป๋าใบใหญ่น้อยขึ้นรถ แล้วก็ขับออกไป
ปัง!
ซุนไห่หมิงทุบหมัดลงบนหน้ารถ พูดเสียงแค้นเคืองว่า “ยัยตัวแสบ แสร้งทำตัวบริสุทธิ์อะไร ตระกูลเย่บ้า ๆ นั่นกำลังจะพังอยู่แล้ว ตอนนั้นฉันจะต้องย่ำยีเธอให้สาแก่ใจ”
หลังจากระบายอารมณ์แล้ว เขาก็ขึ้นรถ ใบหน้าบึ้งตึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“โหวลิ่ว ช่วยจัดการให้หน่อย ฉันต้องการพบกับเฉินจิ้งหมิ่น”
บนรถตู้ของตระกูลเย่ พ่อบ้านเจิ้งนั่งข้างคนขับรถอยู่ด้านหน้า ส่วนที่นั่งด้านหลังมีเพียงเย่ซวงและเหอเจ๋อสองคนเท่านั้น
ใช้คนต้องไว้ใจ สงสัยคนก็อย่าใช้ ตอนนี้ทั้งสองคนเหมือนตั๊กแตนติดอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน เย่ซวงจึงไม่ปิดบัง ยิ้มขื่นพลางอธิบายเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น
การจะมีชีวิตรอดในเมืองหลวงเยี่ยนจิงช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่มีใครสามารถต่อสู้คนเดียวได้ ตระกูลเย่อยู่ที่นี่มาหลายปี ย่อมมีเพื่อนบ้างเป็นธรรมดา ตระกูลซุนก็เป็นหนึ่งในนั้น
มีคำกล่าวที่ดีว่า ในโลกนี้ไม่มีเพื่อนถาวร มีแต่ผลประโยชน์ถาวรเท่านั้น
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม การทรยศและการแทงข้างหลังก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ การแต่งงานจึงกลายเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซุนไห่หมิง บุตรชายคนโตของตระกูลซุนจึงเริ่มเข้าหาเย่ซวงอย่างเป็นธรรมชาติ
ถ้าสลับบทบาทกัน ให้เย่ซวงเป็นผู้ชายและซุนหมิงไห่เป็นผู้หญิง ตระกูลเย่ก็คงยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้าม เย่ซวงมีอำนาจสูงในตระกูลเย่ ถ้าแต่งงานไปแล้ว ตระกูลเย่อาจกลายเป็นเพียงสินสอดไปด้วย
ในยามปกติ ทั้งสองฝ่ายอาจจะพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาได้ แต่ช่วงนี้กลับเป็นจังหวะสำคัญที่ตระกูลเย่กำลังขัดแย้งกับตระกูลเฉิน หากสูญเสียพันธมิตรสำคัญอย่างตระกูลซุนไป ความได้เปรียบอาจเอนเอียงไป ดังนั้นตระกูลเย่จึงใช้วิธีถ่วงเวลามาโดยตลอด
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง แต่ดูเหมือนตอนนี้คุณชายซุนจะรอไม่ไหวแล้วนะ” เหอเจ๋อลูบคางพลางพูดอย่างกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
แม้แต่เขาที่เพิ่งเจอกันครั้งเดียวยังมองออก ไม่ต้องพูดถึงเย่ซวงเลย
เธอยักไหล่อย่างจนปัญญาแล้วพูดอย่างขมขื่นว่า “เหตุผลนี้ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง แต่ฉันกับซุนไห่หมิงโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ฉันมองเขาเป็นเพื่อนสนิทมาตลอด จริง ๆ แล้วฉันไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แค่นึกภาพจูบกับเขา ฉันก็จะอาเจียนแล้ว”
เหอเจ๋อหัวเราะอย่างไร้ยางอาย เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดในโลกคงไม่มีอะไรเกินกว่านี้แล้ว ฉันมองนายเป็นเพื่อนสนิท แต่นายกลับอยากขึ้นเตียงกับฉัน
รถแล่นเข้าสู่บ้านตระกูลเย่อย่างรวดเร็ว ในฐานะตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของเมืองเยี่ยนจิง ฐานที่มั่นนี้ช่างสง่างามจริง ๆ เป็นบ้านสี่เหลี่ยมแบบโบราณที่มีกลิ่นอายความเก่าแก่ ประตูทางเข้ามีลวดลายแกะสลักวิจิตร สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือสิงโตหยกขนาดใหญ่สองตัว
เป็นหยกของแท้จริง ๆ แม้ว่าคุณภาพจะไม่ค่อยดีนัก แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ขนาดนี้ มูลค่าก็น่าตกใจพอสมควร
“โอ้โห แค่สิงโตสองตัวนี้ก็มีค่ามหาศาลแล้วสินะ!” เหอเจ๋อพูดอย่างทึ่ง ๆ
เย่ซวงหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “พวกเราไม่ได้รวยขนาดนั้นหรอก นี่เป็นของขวัญที่ลุงเหอมอบให้พ่อฉัน”
เหอเจ๋อได้ยินแล้วตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองประเมินฐานะของ “พ่อ” คนนี้ต่ำเกินไป
จริง ๆ แล้วสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ บริษัทภาพยนต์เหอ ในฐานะบริษัทภาพยนตร์รุ่นแรก ๆ ของประเทศ เคยสร้างดาราดังมามากมาย และเหอหย่งฝูก็เป็นคนใจกว้าง ดาราใหญ่หลายคนเคยได้รับความช่วยเหลือจากเขาในยามตกอับ หลังจากมีชื่อเสียงแล้วก็ยังรู้สึกซาบซึ้ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินหรือรากฐาน ล้วนแต่หนาแน่นน่าตกใจทั้งสิ้น
หลังจากเข้าไปในคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลเย่ สิ่งที่ต้อนรับพวกเขามีเพียงคนแก่ไม่กี่คนที่กระจัดกระจายอยู่
ตระกูลเย่ไม่ได้มีสมาชิกมากมาย ผู้อาวุโสมีเพียงพี่น้องสองคนของเย่เฉิน ส่วนรุ่นนี้นอกจากเย่ซวงแล้ว ก็มีเพียงทายาทโดยตรงสองคนที่เป็นผู้ชาย แต่ทั้งหมดล้วนเป็นพวกไร้ค่าที่ทำลายวงศ์ตระกูล พวกเขาใช้เวลาทั้งวันเที่ยวไปตามไนต์คลับ ไม่เคยสนใจดูแลตระกูลเลย ดังนั้นคนที่เหลืออยู่ในบ้านจึงมีแต่พวกคนแก่ไม่กี่คนนี้เท่านั้น
MANGA DISCUSSION