บทที่ 74 รู้สึกเห็นใจฮ่องเต้เหล่านั้น
หวงจิงจิงพยุงเหอเจ๋อกลับมาที่ห้องของเธออย่างโซซัดโซเซ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง เหอเจ๋อก็ทนไม่ไหว หมดสติล้มลงบนเตียง
หวงจิงจิงไม่ทันตั้งตัว รับน้ำหนักเขาไม่ไหวจึงถูกดึงลงไปบนเตียงด้วยกัน ร่างของเขาคร่อมทับร่างของเธอไว้
นั่นเป็นครั้งแรกที่หวงจิงจิงได้ใกล้ชิดกับผู้ชายถึงขนาดนี้ ลมหายใจหนักหน่วง อ้อมกอดอบอุ่น เรื่องราวทั้งหมดทำให้สมองของเธอหยุดทำงานไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ส่วนเหอเจ๋อ ในตอนนั้นรู้สึกมึนงง ร่างกายตอบสนองตามสัญชาตญาณ กอดร่างนุ่มนิ่มเอาไว้แน่น ราวกับเด็กน้อยที่เอาหน้าซุกซบไปมา
เขาหลับไปนานตลอดทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเย็นของวันถัดมา
เขาลืมตาขึ้น มองไปรอบ ๆ สิ่งที่เห็นคือการตกแต่งในโทนสีชมพู นอกจากคนวิปริตแล้ว คงไม่มีอะไรจะเหมาะกับคำว่าห้องนอนสาวน้อยได้มากไปกว่านี้แล้ว
“ที่นี่ที่ไหน?”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความทรงจำก่อนที่จะหมดสติผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ
“ถ้าอย่างนั้น สิ่งนุ่มนิ่มที่ว่า…”
“อ๊ะ คุณฟื้นแล้วเหรอ”
ทันใดนั้น เสียงใสดุจเสียงกระดิ่งเงินก็ดังขึ้นข้างหูของเหอเจ๋อ เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหวงจิงจิงเดินเข้ามาพร้อมกับชามข้าวต้มในมือ
“ลำบากคุณแล้ว หิวมากเลยใช่ไหม ทานข้าวต้มก่อนนะคะ”
หวงจิงจิงทำตัวราวกับภรรยาสาวแสนดี นั่งลงข้าง ๆ เขา ตักข้าวต้มเป่าจนหายร้อน แล้วค่อยป้อนเขา
จริง ๆ แล้วเหอเจ๋อมีแรงลุกนั่งได้แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่อยากลุกขึ้น จึงอ้าปากอย่างอ่อนแรง
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้รับการดูแลราวกับเป็นฮ่องเต้ ข้าวต้มชามนี้จึงหมดลงอย่างไม่รู้ตัว
จนกระทั่งหวงจิงจิงเก็บชามและตะเกียบออกไปจากห้อง เหอเจ๋อถึงได้สติกลับมา ภาพหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
“เหล่านางสนมในวังล้วนหมดสิ้นสีสัน นับแต่นี้ไปฮ่องเต้ไม่เสด็จออกว่าราชการ”
ก่อนหน้านี้เขาเคยหัวเราะเยาะฮ่องเต้ที่ยอมทิ้งแม้กระทั่งบ้านเมืองเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง แต่หลังจากได้สัมผัสกับความรู้สึกอ่อนโยนแบบนี้ เขากลับรู้สึกเห็นใจฮ่องเต้เหล่านั้นขึ้นมา
หลังจากถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาก็สงบสติอารมณ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้ลง หลับตาลงแล้วตรวจสอบสภาพร่างกายของตัวเอง พบว่านอกจากอาการอ่อนเพลียแล้ว ก็ไม่มีอาการร้ายแรง ตรงกันข้าม สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ พลังชี่ที่กักอยู่ในตันเถียน หลังจากที่ถูกใช้ไปเป็นจำนวนมาก กลับมีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้น
การค้นพบนี้ทำให้เหอเจ๋อทั้งตกใจและดีใจ พลันความหวังในการบำเพ็ญเพียรอีกเส้นทางก็ส่องสว่างขึ้น
เมื่อร่างกายหายดีแล้ว การแสร้งทำเป็นป่วยต่อไปก็คงไม่เหมาะ เหอเจ๋อจึงพักผ่อนครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูออกไป
บังเอิญหวงเหยียนกำลังกวาดลานบ้านอยู่ พอเห็นเขาออกมาจึงรีบถามทันที “พี่เหอ เป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”
เหอเจ๋อยิ้มแล้วตอบ “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว แค่หมดแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง อาจารย์ตื่นหรือยัง”
เมื่อเอ่ยถึงหวงเทียนเหยา หวงเหยียนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ต้องขอบคุณพี่เหอที่ช่วยเหลือ อาจารย์ของข้าปลอดภัยแล้ว ตื่นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว กำลังนอนพักอยู่บนเตียง ข้าพาพี่ไปพบเขานะ”
ทั้งคู่เดินผ่านลานบ้านเข้าไปในห้องด้านใน โรคร้ายแรงย่อมต้องใช้ยาแรง อาการบาดเจ็บของหวงเทียนเหยาเป็นอาการที่สะสมเรื้อรังมานาน เหอเจ๋อจึงไม่ได้ออมมือ พลังชี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทนได้ แม้ว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขาให้หายขาดได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายในไม่น้อย เขาจึงต้องนอนพักบนเตียงไปอีกระยะหนึ่ง
“เสี่ยวเหอ ตื่นแล้วเหรอ นายช่างอ่อนด้อยจริง ๆ ตอนนี้นายอายุมากกว่าฉันตั้งเยอะ ยังสู้ฉันตอนหนุ่ม ๆ ไม่ได้เลย ตอนนั้นฉัน…”
“พอ ๆ แก่แล้วอย่าพูดมาก เดี๋ยวน้ำลายหมดตัวพอดี” เหอเจ๋อขัดจังหวะอย่างไม่เกรงใจ ไม่อยากฟังเขาคุยโวต่อ
หวงเทียนเหยาเบ้ปาก แม้ในน้ำเสียงของเขาจะเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ก็ยังมีความเศร้าหมองแฝงอยู่ แต่ก็นั่นแหละ อายุอานามขนาดนี้แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อหยอกล้อกันเสร็จ เหอเจ๋อก็จับชีพจรของเขาดู ชีพจรเป็นปกติดี ไม่มีอะไรผิดปกติ ความกังวลในใจของเขาก็พลันมลายหายไป
“เอาละ อาจารย์พักผ่อนเถอะ ถ้ามีอะไรค่อยติดต่อกัน ผมขอตัวก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน” หวงเทียนเหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเรียกเหอเจ๋อที่กำลังจะออกไป เขาพูดอย่างเขินอายเล็กน้อยว่า “ก่อนหน้านี้มีเพื่อนเก่ามาหาฉัน เขาขอให้ฉันแนะนำหมอเก่ง ๆ ให้ ฉันก็เลยบอกชื่อนายไป ไม่ได้ขออนุญาตนายก่อน ไม่ว่ากันนะ”
เหอเจ๋อหยุดเดินแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่หวงเทียนเหยารู้สึกกังวล ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาพูดด้วยความดีใจ “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า อาจารยืยอมรับว่าฝีมือการแพทย์ของผมเก่งกว่าอาจารย์แล้วใช่ไหม?”
“ไร้สาระ” หวงเทียนเหยาโมโหจนแทบจะพ่นไฟออกจากจมูก เขาต่อว่าอย่างขำ ๆ ว่า “ถ้าฉันหนุ่มกว่านี้สักยี่สิบปี แกจะมาเทียบฉันได้รึไง?”
เหอเจ๋อหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินออกไป เขาดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไร แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นอย่างแนบเนียน
หลังจากกลับถึงบ้าน ก้นยังไม่ทันจะได้สัมผัสเก้าอี้ กวนหลิงก็มาหาเขาด้วยท่าทางดุดัน
“โอ้โห ไม่น่าเชื่อเลย นายนี่มันรวยเงียบนี่นา!”
เหอเจ๋อแสร้งทำเป็นงงแล้วพูดว่า “เธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย”
กวนหลิงนั่งลงบนโซฟาอย่างแรงพร้อมกับพูดเยาะเย้ยว่า “ซื้อสมุนไพรทีเป็นสิบ ๆ ล้านโดยไม่ลังเล แล้วยังให้ฉันเลี้ยงข้าวตลอด ดูท่าทางแล้วฉันต้องคิดเรื่องขึ้นค่าเช่าแล้วละ”
เหอเจ๋อรีบแก้ตัวด้วยความรู้สึกผิด “ฉันแค่ช่วยคนอื่นซื้อ ฉันจะเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน เธอมองฉันสูงเกินไปแล้ว!”
“จริงดิ!? นายอย่ามาหลอกฉันนะ!” กวนหลิงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า พร้อมกับถามอย่างสงสัย
เหอเจ๋อนั้นชำนาญด้านการโกหกเป็นอย่างดี ภายนอกจึงดูไม่ออกแม้แต่น้อย
กวนหลิงมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างหัวเสียว่า “ไม่เอาแบบนั้นไม่ได้หรอก งั้นนายต้องเลี้ยงข้าวฉันด้วย”
ดูเหมือนว่าเหอเจ๋อจะหลบเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงตอบตกลง เพราะเงินเดือนหมื่นหยวนต่อเดือน ใช้คนเดียวแบบเขาก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว
ทั้งสองคนหาร้านอาหารแถวนั้น กินดื่มกันอย่างเอร็ดอร่อย กวนหลิงจึงหายโกรธ
เช้าวันรุ่งขึ้น เหอเจ๋อมาตรวจร่างกายให้เหอหย่งฝูตามปกติ แม้ว่าช่วงนี้จะไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่แน่ว่าเติ้งหมิงเจี๋ยและเหอซู่โหรวอาจจะแอบทำเรื่องเลวร้ายอะไรอยู่หรือเปล่า
กลัวโจรขโมยน้อยกว่ากลัวโจรจำบ้านได้ ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยิ่งต้องอยู่ใกล้ชิดมากขึ้น
พอมาบ่อย ๆ ทุกคนก็คุ้นหน้าคุ้นตากับเขา บางครั้งก็พูดหยอกล้อกันบ้าง
เหอเจ๋อเปิดประตูห้องทำงาน หลังจากเดินเข้าไปแล้ว นอกจากเหอหย่งฝู เขายังเห็นคนรู้จักอีกด้วย
“คุณเหอ เจอกันอีกแล้ว ทำเป็นจำกันไม่ได้ซะงั้น” เย่ซวงยิ้มราวกับดอกไม้บาน พร้อมกับโบกมือให้เขา
MANGA DISCUSSION