บทที่ 70 กระบี่โลหิต
เมื่อเห็นหวงป้าหู่และคนอื่น ๆ เดินเข้ามาใกล้รถ เย่ซวงก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว เธอหยุดวิ่งหนี
“นี่แกบังคับฉันเองนะ!”
เธอจ้องมองไปที่หม่าเฟิงอย่างเคียดแค้น เธอขบฟันแน่นจนลิ้นตัวเองแทบขาด เลือดคาวกระจายไปทั่วปาก ใบหน้าอันงดงามของเธอแดงก่ำผิดปกติ พลังทั้งร่างกายเพิ่มพูนขึ้นอย่างฉับพลัน เธอยกแขนขึ้น ตะโกนเสียงดังก้องราวกับฟ้าผ่าว่า “กระบี่โลหิต!”
พลังสีแดงเลือดนองไปด้วยรังสีแห่งความเกรี้ยวกราดพุ่งออกมาจากแขนของเธอ กลายเป็นอสูรร้ายเขี้ยวเล็บแหลมคมพุ่งเข้าใส่ จ้องจะขย้ำหม่าเฟิงที่ไล่ตามมาติด ๆ
หม่าเฟิงที่ทำสีหน้าสบาย ๆ มาโดยตลอด พอมาถึงตอนนี้กลับเผยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก การโจมตีแบบนี้ร้ายกาจยิ่งนัก มันคือการสังเวยเลือดลมเพื่อแลกชีวิต หากไม่ทันระวังตัวก็อาจถึงตายได้
เขารวบรวมพลังปราณที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย มาไว้ที่ฝ่ามือจนกลายเป็นโล่ขนาดเล็ก ป้องกันตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะต้านอสูรร้ายเขี้ยวเล็บแหลมคมที่พุ่งเข้าใส่เอาไว้ได้
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน รถยนต์สีดำก็พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน ก่อนจะเบรกอย่างสวยงามและจอดสนิทอยู่ตรงหน้าเย่ซวงที่ทรุดตัวลงกับพื้น
เหอเจ๋อเปิดประตูรถ คว้าแขนของเย่ซวงแล้วโยนเธอเข้าไปในรถอย่างไม่ไยดี
หลังจากใช้กระบี่โลหิตไป เลือดลมในร่างกายของเธอมากกว่าหนึ่งในสามก็ถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น แม้แต่จะรอดชีวิตไปได้หรือไม่ก็ยังต้องดูกันอีกที ไหนเลยจะมีแรงต่อต้าน
หางตาของหม่าเฟิงเหลือบไปเห็นเหตุการณ์นี้ เปรียบได้กับเป็ดที่ปรุงสุกแล้วบินหายไปเสียแรงเปล่า เขาจะยอมได้อย่างไร
เขาเบิกตาโตด้วยความโกรธ ยื่นฝ่ามือออกมาฟาดฟันอย่างรุนแรง พลังลมปราณพุ่งตรงไปที่เหอเจ๋อ
พลังลมปราณไร้สีไร้รูป ทะยานด้วยความเร็วสูง เหอเจ๋อหันหลังเตรียมขึ้นรถไม่ทันระวังตัว ถูกโจมตีเข้าที่หลังอย่างจัง
หม่าเฟิงไม่เหมือนกับเย่ซวง เขาเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นพลังชี่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมานานหลายปี พลังลมปราณของเขาไม่ธรรมดา ดูได้จากการบีบดาบเล่มเล็กจนแหลกละเอียด
ใบหน้าของเหอเจ๋อซีดเผือด เสื้อผ้าบนร่างกายถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ในพริบตา ปรากฏรอยฝ่ามือชัดเจนที่ด้านหลัง
โชคดีที่สิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือการทนรับการโจมตี แม้ว่าอวัยวะภายในจะปั่นป่วน แต่เขายังคงกัดฟัน ขึ้นรถเหยียบคันเร่งจนมิด พุ่งชนรถที่ขวางทาง จากไปอย่างรวดเร็ว
ขาของคนสองข้างจะไปสู้ล้อรถยนต์สี่ล้อได้อย่างไร พวกนั้นคิดจะขับรถไล่ตาม รถสีดำก็หายวับไปแล้ว
“ช่างเถอะ เสียเวลามานาน พวกจมูกดีกว่าหมา คงจะมาถึงแล้ว พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
หม่าเฟิงขัดขวางหวงป้าหู่และคนอื่น ๆ ที่กำลังจะไล่ตาม ใบหน้าของเขามืดครึ้ม แขนขวาของเขามีเลือดไหลทะลัก เนื้อหนังเละเทะ เป็นเพราะเขาเสียสมาธิไปโจมตีเหอเจ๋อ จึงถูกสัตว์ร้ายฉวยโอกาสฉีกทึ้ง
แม้ว่าหวงป้าหู่และคนอื่น ๆ จะรู้สึกไม่ยินยอม แต่ถ้าไม่มีหม่าเฟิง พวกเขาก็ไปตายเปล่า จึงได้แต่จากไปอย่างช่วยไม่ได้
พวกเขากลับไปได้ไม่ทันไร ก็มีกลุ่มคนแต่งกายชุดรัดรูปสีดำ ติดตราตำรวจตรงไหล่ เดินทางมาถึง พวกเขาตรวจสอบสถานที่ บันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องแล้วก็จากไป
เหอเจ๋อไม่กล้าประมาท ขับรถอย่างบ้าคลั่งไปจนถึงใจกลางเมือง เขาเชื่อว่าไม่มีใครกล้ามาทำอะไรที่นี่ เพราะลูกปืนไม่ใช่อาหารอร่อย
เขาหาโรงแรมหรูหราสักแห่ง จอดรถในลานจอดรถใต้ดิน เหอเจ๋อกุมพวงมาลัยไว้แน่น เลือดสีคล้ำก็พุ่งออกมาจากปาก
“คุณเหอ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” พ่อบ้านเจิ้งถามด้วยความเป็นห่วง
เหอเจ๋อโบกมือ เลือดที่คั่งค้างถูกพ่นออกมา ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก
สายตาของเขาเหลือบมองไปที่เบาะหลัง เห็นเย่ซวงใบหน้าซีดเซียว หมดสติอยู่ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คุณเย่บาดเจ็บสาหัส รีบไปเปิดห้องพัก เธอต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด”
พ่อบ้านเจิ้งผงะไปครู่หนึ่ง แล้วก็คิดได้ ทักษะทางการแพทย์ของชายหนุ่มคนนี้แม้แต่หวงเทียนเหยายังยกย่อง คงจะไว้ใจได้
พ่อบ้านเจิ้งทำตามที่เขาบอก ขึ้นไปเปิดห้องพักบนชั้นบน เหอเจ๋อก้มลงไปอุ้มเย่ซวงที่หมดสติอยู่ แต่ไม่คิดว่ามือของเขาที่เพิ่งจะแตะเธอ ขาเรียวสวยที่แข็งแรงราวกับติดสปริงก็เตะเข้าใส่เขา
เหอเจ๋ออยู่ในท่าทางที่น่าอาย โดนเตะเข้าจุดสำคัญอย่างจัง โชคดีที่ตอนนี้เย่ซวงบาดเจ็บสาหัส ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องกลายเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กันพอดี
ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ เขาตะโกนด้วยความโกรธ “ฉันกำลังช่วยเธออยู่ เธอเป็นบ้าไปแล้วรึไง!”
เย่ซวงพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เอ่ยถามอย่างอ่อนแรงว่า “คุณเป็นใคร ฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน”
เหอเจ๋อถึงกับพูดไม่ออก เขาจะบอกความจริงได้อย่างไร ว่าเขามาเพื่อเก็บของมีค่า
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกถึงคำพูดของพ่อบ้านเจิ้ง
ตอนนั้นเย่ซวงแทบจะหมดแรงแล้ว เธอได้ยินเพียงครึ่งเดียวก็หมดสติไป เหอเจ๋อพูดจนปากคอแห้งผาก รู้สึกเหมือนกำลังคุยกับวัว ควายก็ไม่ปาน
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาได้แต่โทษตัวเอง ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปช้อนตัวเย่ซวงขึ้นมา
สัมผัสอันอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมจาง ๆ ของหญิงสาวในอ้อมแขน ทำให้เหอเจ๋อซึ่งเป็นชายหนุ่มเลือดร้อนอดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้ เขาซึ่งมาจากเมืองหลินอัน เพิ่งเคยได้ใกล้ชิดกับร่างกายของผู้หญิงแปลกหน้าเช่นนี้เป็นครั้งแรก สัมผัสอันอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมที่โชยเข้าจมูก ทำให้เขาเกิดปฏิกิริยาทางร่างกายโดยไม่รู้ตัว
โชคดีที่ตอนนี้เย่ซวงหมดสติไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เขาเดินเข้าไปในห้องที่พ่อบ้านเจิ้งเตรียมไว้ ท่ามกลางสายตาอิจฉาของผู้คนที่เดินผ่านไปมา หลังจากวางเย่ซวงลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว เหอเจ๋อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เพื่อไม่ให้พ่อบ้านเจิ้งเห็น “เต็นท์น้อย” อันน่าอาย เขาจึงพูดกับพ่อบ้านเจิ้ง ขณะที่กำลังตรวจร่างกายของเย่ซวงด้วยท่าทางกึ่งนั่งยอง ๆ ว่า “รถพังขนาดนั้น สมุนไพรล้ำค่ามากมายที่อยู่ข้างในก็คงไม่ปลอดภัย รบกวนคุณลงไปเอามันขึ้นมาให้หน่อย”
เมื่อพ่อบ้านเจิ้งได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จึงหันหลังลงไปที่ลานจอดรถใต้ดินเพื่อนำสิ่งของขึ้นมา
หลังจากเขาเดินออกไป เหอเจ๋อถึงกล้าลุกขึ้นยืน ท้องน้อยยังคงรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ เขาโกรธจนอดไม่ได้ที่จะตีลงบนสะโพกของเย่ซวงอย่างแรง
สะโพกอวบอิ่มสั่นสะเทือน คล้ายผืนน้ำกระเพื่อม สะท้อนความยืดหยุ่นที่ยอดเยี่ยม จนกระทั่ง เหอเจ๋อรู้สึกไม่อยากจะละมือออกไป เสียงหายใจของเขาเริ่มหยาบหนัก
โชคดีที่พ่อบ้านเจิ้งเดินกลับเข้ามาเอากุญแจรถ ทำให้เขาตื่นตัวขึ้นมาได้ทันเวลา
หลังจากตั้งสติได้ เหอเจ๋อก็ไม่ว้าวุ่นใจอีกต่อไป แต่เริ่มตรวจร่างกายของเย่ชวงอย่างจริงจัง
“คุณเหอ คุณหนูบาดเจ็บสาหัสหรือเปล่า” พ่อบ้านเจิ้งถามอย่างระมัดระวัง
เหอเจ๋อส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น เรียกผมว่าเหอเจ๋อก็พอ”
MANGA DISCUSSION