บทที่ 68 ขโมย
ในมุมอับสายตาของลานจอดรถโรงแรม ชายร่างผอมบางท่าทางมีเลศนัยมองตามรถสีดำที่แล่นออกไป ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เธอออกไปแล้ว พวกแกเตรียมตัวได้เลย”
หลังจบงานประมูล คุณหนูเย่ซวงซึ่งรับหน้าที่ดูแลธุรกิจส่วนใหญ่แทนปู่ที่ชราภาพแล้ว รีบตรงไปยังสนามบินทันที
เวลาเลิกงานแบบนี้ การจราจรในเมืองกว่างหนานค่อนข้างคับคั่ง ด้วยความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เมืองใหม่แห่งนี้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็ว แม้จะมีปริมาณรถยนต์บนท้องถนนหนาแน่น แต่ก็ไม่มีปัญหาการจราจรติดขัด
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เย่ซวงซึ่งมาจากเมืองหลวงที่รถติดเป็นประจำ รู้สึกประทับใจ เธอจึงเหยียบคันเร่ง รถซีดานสีดำพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
ทว่าในขณะที่ใจของเธอกำลังเบิกบานอยู่นั้น จู่ ๆ บนท้องถนนเบื้องหน้าก็ปรากฏรถสองคันที่ชนท้ายกันขวางอยู่กลางถนน บดบังเส้นทางที่แคบอยู่แล้วจนมิด
เย่ซวงไม่มีทางเลือก เธอจึงต้องเหยียบเบรก
เอี๊ยดดดด!!!
เสียงยางรถสีดำเสียดสีกับพื้นถนน ดังก้องแสบแก้วหู ทิ้งรอยล้อสีดำยาวเหยียดบนพื้นถนน
เหล่าคนขับรถมากประสบการณ์ต่างทราบกันดีว่า การขับรถช้าไม่น่ากลัวเท่ากับการหยุดรถกะทันหัน
อย่าดูถูกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่มันจะได้รับการจัดการเรียบร้อย เธอไม่มีเวลารอหรอก พูดจบเธอก็หมุนพวงมาลัยรถเตรียมตัวจะกลับรถ เลือกไปเส้นทางอื่นไปสนามบิน
โครม!
ทันใดนั้น รถเก๋งอีกสองคันก็ขับตามมาจากข้างหลัง ก็ขับปาดหน้าไปขวางถนนไว้ก่อน ตีวงล้อมหน้าหลังเอาไว้หมด
ใบหน้าของเธอขมวดคิ้วขึ้นมาทันที สัญชาตญาณของเธอบอกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล
หลังจากที่รถสองคันที่ตามมาจอดสนิทแล้ว ก็มีคนลงมาจากรถห้าคน เป็นผู้ชายสี่คน ผู้หญิงหนึ่งคน คนที่เป็นหัวหน้าก็คือหวงป้าหู่ที่มีสีหน้าดุร้าย
“คุณหนูเย่ ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
“หวงซาน?” เธอขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับอันธพาลคนนี้ที่โด่งดังในวงการ เธอก็เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง เหมือนอย่างที่เขาว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ไม่มีอะไรเขาไม่ทำหรอก ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ต้องมีเรื่องไม่ดีแน่
“คุณหนูเย่จำผมได้ด้วย นี่มันบุญวาสนาแท้ ๆ” หวงป้าหู่พูดด้วยสีหน้าเยาะเย้ย ทำทีเป็นตกใจ
เธอสามารถบริหารตระกูลเย่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ขนาดนี้แล้ว เธอไม่ใช่คนโง่ เธอหัวเราะอย่างเย็นชา พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว มีอะไรก็รีบพูดมา”
หวงป้าหู่หัวเราะลั่น ชูนิ้วโป้งให้ แล้วพูดว่า “ตรงไปตรงมาดี ผมจะไม่พูดพร่ำทำเพลง วันนี้คุณหนูเย่กวาดซื้อของในงานประมูล ทำให้พวกผมต้องกลับบ้านมือเปล่า วิ่งเต้นมาตั้งนาน ไม่ได้อะไรเลย มันก็น่าเสียดายอยู่ งั้นคุณช่วยแบ่งให้พวกเราหน่อยแล้วกัน ไม่มากหรอก คนละชิ้นก็พอ”
หลังจากที่เย่ซวงได้ฟัง เธอก็หลุดหัวเราะออกมาทันที รูปร่างอวบอิ่มของเธอสั่นไหวจนทำให้ผู้ชายมองตาค้าง
เธอเหลือบมองคนทั้งห้าด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาว่า “พูดจาอยู่นาน สรุปแล้วก็มาปล้นนี่เอง น่าขันสิ้นดี ถ้าคิดว่าฉันคนเดียวเอาชนะได้ง่าย ๆ งั้นก็ลองเข้ามาดูสิ”
เธอไม่ได้หยิ่งผยอง คนทั้งห้านี่ล้วนแต่เป็นแค่ขั้นพลังชี่ทั้งหมด แค่เธอจัดการคนเดียวก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
หวงป้าหู่ขยับใบหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “คุณหนูเย่เป็นถึงยอดฝีมือขั้นพลังชี่ พวกเราจะกล้าล่วงเกินคุณหนูได้อย่างไร? แต่ถ้าไม่มีฝีมือ พวกเราก็คงไม่กล้ามารับงานนี้หรอก เชิญนายท่านหม่าครับ”
ประตูรถทั้งสองคันที่ขวางทางเปิดออก มีชายชราคนหนึ่งก้าวลงมา เขาโกนหัวจนเกลี้ยงเกลา ใบหน้าแดงก่ำ อ้วนท้วนสมบูรณ์ มีพุงพลุ้ยออกมา ดูราวกับเศรษฐี
ชายชรามองสำรวจเย่ซวงอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววโลภขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะลูบหัวโล้น ๆ ของตัวเอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหยาบโลนว่า “เย่เฉินตายไปแล้วรึไง ถึงได้ให้เด็กกะโปโลอย่างเธอออกมาคุมบังเหียนตระกูลเย่ แบบนี้ตระกูลเย่ก็ตกต่ำลงทุกวันสิท่า”
ตั้งแต่เย่ซวงกุมบังเหียนตระกูลเย่เป็นต้นมา ใครเห็นเธอก็ล้วนแต่เคารพนับถือ ไม่ค่อยมีใครกล้าล่วงเกินเธอแบบนี้
ความโกรธพลุ่งพล่านในใจเธอ แต่คู่ต่อสู้ตรงหน้าก็ไม่ใช่ธรรมดา ไม่เพียงแต่เป็นถึงยอดฝีมือขั้นพลังชี่ที่โด่งดังมานานปี แต่ยังฝึกฝนวิชาตัวเบาจนถึงขั้นสุดยอด อาวุธใด ๆ ก็ทำอันตรายไม่ได้ เป็นศัตรูที่น่ารำคาญยิ่งนัก
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ จึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ที่สับสน แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “พ่อของฉันกำลังบำเพ็ญเพียรเพื่อทะลวงสู่ขั้นหลอมรวม เรื่องต่าง ๆ จึงตกเป็นหน้าที่ของฉันเอง”
“ขั้นหลอมรวมงั้นเหรอ” หม่าเฟิงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเยาะหยันออกมา “ด้วยพรสวรรค์ของเย่เฉิน นั่นมันฝันกลางวันชัด ๆ ฉันว่าคงใกล้หมดอายุขัย เลยต้องหาทางยื้อชีวิตมากกว่า”
เย่ซวงถูกจับได้ว่าโกหก แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ เธอรู้ดีว่าหลอกคนเจ้าเล่ห์อย่างเขาไม่ได้ แต่แค่ทำให้เขากลัวก็เพียงพอแล้ว
“คุณอาเฟิง พวกเราไม่เคยล่วงเกินกัน ทำไมต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ถ้าคุณเอ่ยปาก สิ่งของบนรถ คุณเลือกไปได้หนึ่งอย่าง”
เย่ซวงคิดอย่างรวดเร็ว ต้องรีบจบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด หากอยู่ที่นี่นานเกินไป อาจมีคนมาเพิ่มอีก เรื่องจะยิ่งยุ่งยาก
เสียสละสิ่งเล็กน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่าไว้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หม่าเฟิงหัวเราะ “ได้ยินมาว่าคุณหนูตระกูลเย่ไม่ยอมน้อยหน้าบุรุษ วันนี้ได้เห็นกับตา สมคำร่ำลือ งั้นฉันไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอแค่เธอมอบปะการังเลือดมังกรต้นนั้นให้ ฉันย่อมไม่พูดมาก และขอตัวกลับทันที”
สีหน้าเย่ซวงเย็นชา ของอย่างอื่นไม่ว่า แค่คิดเสียว่าเป็นค่าผ่านทาง แต่ปะการังเลือดมังกร นอกจากราคาแพงลิบลิ่วแล้ว มันอาจช่วยให้พ่อของเธอที่ร่างกายทรุดโทรมจนต้องปิดประตูฝึกตนฟื้นคืนพลังได้
ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เย่ซวง ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า บริเวณรถไม่ไกลออกไป มีร่างร่างหนึ่งแอบซ่อนอยู่
เหอเจ๋อเหลือบมองคนทั้งสองฝ่ายที่กำลังเผชิญหน้ากันอย่างเงียบ ๆ “โลภมากจริง ๆ แค่เอ่ยปากก็ขอปะการังเลือดมังกร ถ้าเย่ซวงยอมแกก็บ้าแล้ว”
ตอนที่เขากินข้าวเที่ยง เขาบังเอิญได้ยินแผนการร้ายของหวงป้าหู่กับพวก เลยตั้งใจมาดูความสนุกเผื่อมีโอกาสจะได้หาผลประโยชน์เข้าตัว
เย่ซวงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกวาดตามองโจรที่กำลังกระสับกระส่ายและพร้อมจะลงมือทุกเมื่อ “ในเมื่อคุณอาไม่รับไมตรีของตระกูลเย่ และยืนกรานที่จะเป็นศัตรู งั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด พวกแกมันก็แค่กลุ่มคนไร้แก่นสาร คิดว่าฉันรังแกง่ายอย่างนั้นเหรอ”
เสียงหัวเราะคำรามของหวงป้าหู่ดังกึกก้อง เขารอคอยเวลานี้มานาน หากทั้งสองฝ่ายเจรจากันได้ เขาก็คงไม่ได้อะไรเลย
“พี่น้องทั้งหลาย สิ่งที่คุณหนูเย่ถืออยู่ในมือ พวกเราก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ ตอนนี้ไม่ต้องปิดบังกันแล้ว บอกไว้ตรงนี้เลย นอกจากปะการังเลือดมังกรแล้ว ของอย่างอื่นเลือกได้ตามสบาย”
MANGA DISCUSSION