บทที่ 66 หวงจิงอายุร้อยปี
กวนหลิงเก็บกระดาษ ปากกา และต้นฉบับให้เรียบร้อย เธอทำงานหนักมาทั้งวันก็รู้สึกเหนื่อย จึงตบบ่าเหอเจ๋อที่นั่งเหม่ออยู่ข้าง ๆ แล้วพูดว่า “อย่ามัวดูเลยพักแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ!”
เหอเจ๋อสะดุ้งตื่นจากภวังค์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหม่น ๆ ว่า “อืม ไปสิ”
เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีคนมาเยอะแค่ไหน ตระกูลจางจึงจัดเตรียมเป็นบุฟเฟ่ต์ที่ค่อนข้างยืดหยุ่น
ทั้งสองคนถือจานอาหารเลือกตักอาหารสองสามอย่าง แล้วหาที่นั่งมุมหนึ่ง
กวนหลิงมองเขาอย่างสงสัย เห็นเขาดูไม่มีชีวิตชีวาจึงถามว่า “นายเป็นอะไรไปเนี่ย”
เหอเจ๋อหัวเราะแห้ง ๆ เล่าเรื่องหวงเทียนเหยาให้ฟังคร่าว ๆ
“ที่แท้นายก็กลัวว่าการแข่งขันจะสูงเกินไป แล้วจะซื้อไม่ได้นี่เอง” กวนหลิงร้องอ๋อออกมา ก่อนจะปลอบใจว่า “แต่ฉันว่าไม่น่ามีปัญหาหรอก สิ่งที่ผู้อำนวยการจางบอกก็เป็นความคิดที่ดีนะ เพราะเงินทองไม่ได้หาง่าย ๆ ใคร ๆ ก็ต้องเสียดายเงินกันทั้งนั้น”
เหอเจ๋อพยักหน้า ความกังวลในใจคลายลงบ้างแล้ว ยังไงเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำได้แค่ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา เขาจึงก้มหน้าก้มตากินข้าว
มุมที่พวกเขานั่งค่อนข้างลับตาคน มีโต๊ะอยู่แค่สองโต๊ะ นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีโต๊ะหนึ่งเป็นชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคน ซึ่งในนั้นมีอยู่สองคนที่ค่อนข้างคุ้นหน้า คือเจ้าเตี้ยกับเจ้าผอมที่นั่งอยู่ข้างหน้าพวกเขาเมื่อตอนเช้านั่นเอง
“แม่งเอ๊ย! วันนี้ดูงิ้วมาทั้งเช้า ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรสักอย่าง เสียแรงจริง ๆ” ชายหนุ่มหน้าแดงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตัว ดื่มเหล้าขาวเข้าไปอึกใหญ่ พูดด้วยความโกรธ
“เหล่าหวง แกหมายถึงไม่เจอของถูกใจเหรอ” ชายร่างผอมหน้าเหมือนหนูถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ปกติเขาไม่ใช่คนเก่งอะไร แต่ชอบสอดรู้สอดเห็น เรื่องอะไรก็อยากมีส่วนร่วมไปหมด แต่ก็นั่นแหละ คบคนเยอะก็ดีแบบนี้
อย่างน้อย คนบนโต๊ะนี้ล้วนแต่เป็นคนมีชื่อเสียงทั้งนั้น ไม่ใช่คนระดับขั้นเบิกยุทธ์อย่างเขาจะเข้าถึงได้ แต่เพราะเขารู้จักคนเยอะเลยยังพอพูดคุยด้วยได้บ้าง
หวงป้าหู่หรือฉายาเซียนกระบี่ตอบกลับด้วยความไม่พอใจ “ของดี ๆ ที่ถูกใจน่ะมีเยอะแยะ แต่คุณหนูสองคนนั้นน่ะสิ อัปราคาสู้กันสูงขึ้นเรื่อย ๆ เกินราคาที่ฉันตั้งไว้ตั้งเยอะ”
คำพูดของเขาทำให้คนรอบข้างพากันเห็นด้วย ต่างบ่นกันระงม เดิมทีพวกเขามากันเพื่อหวังซื้อของดีราคาถูก แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงต้องกลับบ้านมือเปล่า
“แบบนี้ไม่ไหวแล้ว! ” หวงป้าหู่ตบโต๊ะเสียงดัง หน้าตาถมึงทึง “หรือพวกเราไปปล้นมันดี”
ทุกคนบนโต๊ะต่างตกตะลึง มองซ้ายมองขวาอย่างระแวง โชคดีที่มีเพียงคู่รักวัยหนุ่มสาวกำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ คงไม่น่ามีใครได้ยิน
“เหล่าหวง แกหมายความว่ายังไง” ชายร่างผอมหน้าเหมือนหนูถามด้วยความสงสัย ลดเสียงเบาลงกว่าเดิม
หวงป้าหู่ยิ้มอย่างมีเลศนัย กระซิบ “ฉันสืบมาแล้ว เย่ซวง ยัยคุณหนูนั่นน่ะเหลิง คราวนี้มางานก็ไม่ได้พาคนคุ้มกันมาด้วยซ้ำ มีเพียงพ่อบ้านคนเดียวเท่านั้น”
ทุกคนนึกถึงตอนเช้าที่คุณหนูเย่ใช้เงินอย่างไม่เสียดาย หัวใจก็ร้อนรุ่มขึ้นมาทันที
แต่ไม่นานก็มีเสียงเป็นกังวล “แต่คุณหนูเย่คนนั้นก็เป็นถึงขั้นพลังชี่ ถ้าพวกเรารีบร้อนจัดการ เกรงว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยาก”
หวงป้าหู่พูดอย่างมั่นใจ “วางใจได้ คราวนี้ท่านอาจารย์ก็มาด้วย ฉันเคยเจอเขามาบ้าง แค่ขอให้เขาลงมือ แล้วพวกเรารุมสู้ เอาชนะเธอง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ เพียงแต่ว่า…”
ทุกคนล้วนเป็นคนเจ้าเล่ห์ เข้าใจความหมายของเขา แล้วเอ่ยปากอย่างรู้ดี “ในเมื่อท่านอาจารย์ให้เกียรติเช่นนี้ เรื่องสำเร็จเมื่อไหร่ ของทุกอย่างให้คุณเลือกก่อนเลย”
หวงป้าหู่หัวเราะลั่น พูดอย่างลำพอง “งั้นตกลงตามนี้ รอถึงตอนนั้นฉันจะติดต่อไป พอสำเร็จ ทุกคนก็จะไม่ต้องกลับบ้านมือเปล่าแล้ว”
ทุกคนล้วนเป็นคนคดโกง วางแผนกันเสร็จก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก กินดื่มกันต่อ ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คู่รักนั้นดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย หลังจากกินข้าวเสร็จก็ลุกออกจากร้านไป
พอออกจากร้านอาหาร เหอเจ๋อก็คว้าแขนเสื้อกวนหลิง ดึงเธอมาที่เปลี่ยว คิ้วขมวดมุ่น “ตอนกินข้าวเมื่อกี้ เธอได้ยินเสียงอะไรบ้างไหม”
กวนหลิงอึ้งไปครู่หนึ่ง พูดอย่างงง ๆ “ไม่ได้ยินนะ ฉันเอาแต่คิดเรื่องต้นฉบับ ทำไมเหรอ”
เหอเจ๋อโบกมือ พูดกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไร อาจจะหูฝาด เราไปเข้างานกันเลยเถอะ เดี๋ยวคนเยอะเบียดเสียด”
กวนหลิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่สมองของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องต้นฉบับ เอกสาร เลยขี้เกียจซักไซ้ไล่เลียงอะไรมากมาย ทั้งสองคนจึงกลับไปยังสถานที่จัดงานด้วยกัน
การประมูลในช่วงเช้าดำเนินไปอย่างรวดเร็ว บันทึกส่วนใหญ่ของกวนหลิงถูกเขียนขึ้นอย่างรีบร้อน มีคำศัพท์เฉพาะทางจำนวนมากที่เธอไม่เข้าใจ เธอจึงถือโอกาสนี้ถามเหอเจ๋อให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
เวลาพักสองชั่วโมงนั้น บอกไม่ได้ว่านานหรือเปล่า เพราะรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จางจื่อหัวปรากฏตัวบนเวทีของสถานที่ประมูลอย่างตรงเวลา ด้วยประสบการณ์ในช่วงเช้า เขาสามารถทำให้บรรยากาศของงานคึกคักขึ้นมาได้อย่างง่ายดายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
การประมูลดำเนินต่อไปอย่างเป็นระเบียบ ผู้คนต่างโล่งใจที่เห็นได้ชัดว่าเงินของตระกูลเฉินและตระกูลเย่ไม่ได้ปลิวมาตามลม เพราะในช่วงบ่าย ทั้งสองคนเสนอราคาลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะเสนอราคา ก็ไม่ได้ดูมุ่งมั่นเหมือนช่วงเช้า แต่เป็นการหยั่งเชิงมากกว่า หากมีใครมาขัดขวาง พวกเขาก็จะถอนตัวทันที
อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างรู้ดีว่า พวกเขากำลังเตรียมตัวสำหรับสินค้าชิ้นสุดท้ายที่จะนำมาประมูล
หลังจากการประมูลสมบัติล้ำค่าไปกว่าสิบชิ้น ผู้คนที่ต้องกลับบ้านมือเปล่าด้วยความหงุดหงิดในตอนเช้าก็ได้ระบายออกไปบ้างแล้ว
ในที่สุด การประมูลก็เข้าสู่ช่วงซบเซา จางจื่อหัวขึ้นเวทีอีกครั้ง เขาส่งสายตาให้เหอเจ๋ออย่างแนบเนียน เหอเจ๋อรู้สึกใจหาย รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขารอคอยกำลังจะมาถึง
“สินค้าชิ้นต่อไปที่จะนำมาประมูลคือ หวงจิงอายุร้อยปี”
จางจื่อหัวไม่ได้ใช้คำพรรณนาใด ๆ เพิ่มเติม หลังจากพูดจบประโยคสั้นที่สุดในการประมูลครั้งนี้ เขาก็ปิดปากลง
โชคดีที่ทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พวกเขารู้ถึงสรรพคุณของสิ่งนี้ ทันทีที่เสียงของเขาจบลง ก็มีคนร้องเสนอราคา
“สามล้าน!”
“สามล้านห้าแสน!”
“สามล้านแปดแสน!”
เมื่อเทียบกับสมุนไพรล้ำค่าเหล่านั้นก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าหวงจิงอายุร้อยปีนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เสียงร้องเสนอราคาดังเป็นระยะ
เหอเจ๋อรู้สึกโล่งใจ ก้อนหินก้อนใหญ่ในใจของเขาร่วงลงไป แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนเสนอราคา เขาเตรียมฉวยโอกาสที่จะปิดการขายด้วยราคาที่ดีที่สุด
“ห้าล้าน!”
เสียงหวานใสดังก้องขึ้นในห้องโถง เสียงจอแจก็เงียบลงเฉียบพลัน เฉินจิ้งหมิ่นที่เงียบมาตลอดสามรายการประมูลแรกได้เอ่ยปากขึ้นแล้ว
MANGA DISCUSSION