บทที่ 62 บัตรเชิญ
กวนหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเตรียมเถียง “ผู้นำของพวกเราเพิ่งจะเข้ามาคุยกับหัวหน้าของคุณเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เองนะ ตอนนั้นไม่เห็นจะพูดแบบนี้เลยนี่?”
ชายวัยกลางคนโบกมือปฏิเสธ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง “นั่นมันเรื่องของเมื่อก่อน ตอนนี้ฉันเป็นผู้จัดการที่นี่ ฉันพูดแล้วก็คือจบ!”
“คุณ…”
กวนหลิงถึงกับไปต่อไม่เป็น เธอไม่รู้จะจัดการกับผู้ชายที่ไม่มีเหตุผลคนนี้อย่างไรดี
เหอเจ๋อ ดึงแขนเธอเบา ๆ ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของเธอ
ลมหายใจอุ่น ๆ รินไหลเข้าไปในช่องหู ทำให้กวนหลิงรู้สึกจั๊กจี้ เลือดลมสูบฉีดจนลำคอขาวผ่องขึ้นสีระเรื่อ หัวใจเต้นระรัวราวกับมีลูกแมวน้อยเกาอยู่ข้างใน
“พี่ชายครับ ผู้นำมอบหมายงานสัมภาษณ์นี้ให้กับพวกเรา ถ้าทำไม่สำเร็จ พวกผมโดนลงโทษแน่ ๆ ช่วยอะลุ่มอล่วยให้หน่อยไม่ได้เหรอครับ”
ชายร่างสูงผอมยิ้มแหยะ เขามองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเบาลง “การจัดสถานที่แบบนี้มันเหนื่อยนะ ทำงานทั้งวัน แม้แต่น้ำก็ยังไม่ได้แตะ…”
เหอเจ๋อเข้าใจในทันที เขาตอบกลับอย่างรู้ทัน “งั้นก็คือ พี่อยากได้ค่าน้ำชาใช่ไหมครับ”
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงยิ้มเยาะ มือทั้งสองข้างประกบกันถูไปมา พูดว่า “เห็นพวกนายยังเด็กอยู่ วันนี้ฉันจะสั่งสอนให้ พวกนายไม่รู้จักเคารพคนอื่น เวลาให้คนอื่นทำอะไรให้ คิดจะไม่เสียเงินเลยหรือไง”
เหอเจ๋อเลิกคิ้ว ทำท่าประจบสอพลอพูดว่า “พวกผมก็ไม่รู้กฎกติกาอะไร งั้นพี่ชายว่าเท่าไหร่ดีครับ”
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงยื่นฝ่ามือออกมา ส่ายไปมา พูดอย่างโลภมากว่า “คนละหนึ่งพันห้าร้อยหยวน”
“แพงขนาดนั้นเลยเหรอครับ” เหอเจ๋อแสร้งทำเป็นตกใจ ขมวดคิ้วพูดว่า “พวกผมเงินเดือนเดือนหนึ่งไม่ถึงสามพันเลยนะครับ”
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงยิ้มเยาะ พูดอย่างดูถูกว่า “ก็กะจะกันพวกคนจนอย่างพวกแกออกไปข้างนอกนั่นแหละ ถึงได้ตั้งกฎให้ใช้บัตรเชิญไงล่ะ”
“อ๋อ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” เหอเจ๋อทำเป็นเข้าใจ พูดขึ้น จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดเบอร์โทรยิ้ม ๆ พูดว่า “ผู้อำนวยการจางใช่ไหมครับ ผมอยู่หน้าโรงแรม สะดวกเจอพวกเราไหมครับ”
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงใจหาย รีบถามขึ้นว่า “พวกแกโทรหาใคร”
เหอเจ๋อกลอกตา พูดว่า “คุณเป็นตำรวจรึไง โทรหาใคร แกจะมายุ่งอะไรด้วย”
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงหน้าเจื่อน โมโหแล้วพูดว่า “ไม่รับไมตรี ก็รินไม่หยุด มีฉันอยู่ตรงนี้ พวกแกก็อย่าหวังจะได้เข้าไป”
เหอเจ๋อไม่สนใจเขา ไม่นานก็มีชายหนุ่มแต่งสูทเต็มยศเดินออกมาจากโรงแรม เป็นจางจื่อหัวที่ถานเหว่ยซ่งแนะนำให้รู้จักเมื่อคราวก่อน
ชายร่างสูงผอมเห็นเขาก็แสร้งทำเป็นเปลี่ยนสีหน้าทันที พูดด้วยน้ำเสียงประจบสอพลอว่า “ผู้อำนวยการจาง มีอะไรให้รับใช้เหรอครับ”
จางจื่อหัวชี้ไปที่คนสองคนที่อยู่ไม่ไกล พูดพร้อมกับยิ้มว่า “เพื่อนฉันมาพอดี ฉันขอตัวไปคุยด้วยสักครู่ นายยุ่งอยู่ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจฉันหรอก”
เฝิงเหล่ยมองตามนิ้วของเขาไป เห็นแล้วก็ตกใจจนหน้าซีด ถามว่า “สองคนนั้นเป็นเพื่อนของท่านเหรอครับ พวกเขาไม่ใช่นักข่าวหรอกเหรอ”
“นักข่าว?”
จางจื่อหัวนิ่งไป ครั้งล่าสุดที่เขาได้พบกับเหอเจ๋อ นอกจากจะปรึกษาเรื่องงานประมูลแล้ว พวกเขายังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการแพทย์กันอย่างไม่เป็นทางการ เขาค่อนข้างประทับใจในตัวชายหนุ่มคนนี้ที่อายุยังน้อยแต่กลับมีความรู้ความสามารถทางการแพทย์สูง
ตอนนี้เหอเจ๋อเดินเข้ามาพร้อมกับกวนหลิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พลางพูดว่า “ผู้อำนวยการจาง ไม่เจอกันนาน ไม่คิดว่าตระกูลจางจะผันตัวมาทำธุรกิจเสริมแบบนี้ด้วย”
จางจื่อหัวทำหน้างง ไม่เข้าใจสิ่งที่เหอเจ๋อกำลังพูด จึงถามด้วยความสงสัยว่า “ธุรกิจเสริมอะไรกัน ช่วงนี้ฉันยุ่งอยู่กับการเตรียมงานประมูล จะเอาเวลาที่ไหนไปทำธุรกิจเสริม”
เหอเจ๋อไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่งสายตาให้กับกวนหลิง ซึ่งกวนหลิงก็เข้าใจ เปิดฟังก์ชันเล่นซ้ำในเครื่องบันทึกเสียงที่ถืออยู่ทันที
“ตอนนี้ฉันเป็นผู้จัดการ… ต้องจ่ายค่าน้ำชา…”
บทสนทนาเมื่อครู่ถูกเล่นซ้ำอีกครั้ง สีหน้าของจางจื่อหัวมืดครึ้มราวกับพายุโหมกระหน่ำ จ้องมองไปที่เฝิงเหล่ยซึ่งตอนนี้หน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “ผู้จัดการเฝิง นายนี่มันมีอำนาจบารมีใหญ่โตจริง ๆ แค่น้ำชาแก้วเดียวยังเรียกตั้งหนึ่งพันห้าร้อยหยวน นายนี่มันนักธุรกิจตัวยงเลยนะเนี่ย ดูท่าทางเบื้องบนคงมองข้ามคนมีความสามารถไปแล้วที่ไม่ให้นายมาเป็นคนจัดการงานประมูล”
เขาถูกจับได้พร้อมของกลาง หลักฐานชัดเจน เฝิงเหล่ยอยากจะแก้ตัว ก็หาคำพูดไม่ได้ ได้แต่ร้องขอด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ผู้อำนวยการจางครับ ผมความคิดเบลอไปชั่วขณะ ถูกความโลภครอบงำ จึงก่อเรื่องเลวทรามเช่นนี้ ผู้อำนวยกายเมตตาผมสักครั้งเถอะครับ”
จางจื่อหัวแสดงสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า “ตระกูลจางยืนหยัดมาเป็นพันปีโดยไม่ล้ม นอกจากฝีมือการแพทย์แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องไม่ลืมรากเหง้า! ทำไมต้องจัดงานประมูลการกุศล? ก็เพราะต้องการช่วยเหลือผู้คนให้มากขึ้น แต่นายกลับทำเรื่องเช่นนี้ บัตรเชิญที่ไม่ต้องใช้เงิน นายยังกล้าเรียกรับผลประโยชน์ มีคนชั่วช้าอย่างนาย ตระกูลจางจะทำการกุศลมากแค่ไหน ชื่อเสียงก็ไม่ดีขึ้นหรอก รีบไปรับเงินเดือนเดือนนี้ที่ฝ่ายการเงิน แล้วไสหัวไปให้พ้น!”
เฝิงเหล่ยสีหน้าซีดเผือด แต่จางจื่อหัวเป็นถึงทายาทสายตรงของตระกูลจาง เขาเป็นแค่คนนอก ไม่มีทางต่อกรได้ จึงจ้องมองเหอเจ๋ออย่างเคียดแค้น ก่อนจะจากไปด้วยความอับอาย
“ขออภัยด้วยที่ทำให้พวกเธอเห็นเรื่องน่าขันแบบนี้” จางจื่อหัวกล่าวขอโทษด้วยสีหน้าสำนึกผิด
เหอเจ๋อโบกมือปลอบใจว่า “ป่าใหญ่ย่อมมีนกสารพัดชนิด ตระกูลจางใหญ่โตเช่นนี้ มีคนชั่วช้าสักคนสองคนก็ถือเป็นเรื่องปกติ”
กวนหลิงไม่คิดว่าเหอเจ๋อจะรู้จักกับผู้บริหารระดับสูงของงานประมูล จึงยิ่งมั่นใจว่าตัวเองว่าไม่ได้หาคนผิด หลังจากได้รับอนุญาตจากจางจื่อหัว เธอก็รีบตรงไปในงานด้วยความตื่นเต้น
ข่าวเรื่องงานประมูลการกุศลแพร่สะพัดไปทั่วเมืองกว่างหนาน หากเธอสามารถถ่ายภาพเบื้องหลังได้ คงได้ลงข่าวหน้าหนึ่ง แถมยังได้เงินรางวัลก้อนโตอีกด้วย!
ชายทั้งสองหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จางจื่อหัวอาสาอธิบายเรื่องบัตรเชิญ
ตระกูลจางใจกว้างมาก ครั้งนี้เพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ในการระดมทุนค่ารักษาพยาบาล พวกเขานำของล้ำค่ามากมายออกมาประมูล ผลปรากฏว่าเรื่องราวใหญ่โตเกินคาด ทำเอาผู้คนในแวดวงศิลปะการต่อสู้โบราณจำนวนมากตกตะลึง พวกเขารีบเดินทางมาจากที่ต่าง ๆ
ด้วยเหตุนี้ สถานที่ที่จัดเตรียมไว้จึงไม่เพียงพอ พวกเขาจึงต้องออกบัตรเชิญเพื่อจำกัดจำนวนคน
“เรื่องมันค่อนข้างกะทันหัน นายก็รู้ ที่จริงกะว่าจะโทรหาแล้วค่อยแวะเอาบัตรเชิญไปให้เองซะหน่อย คิดไม่ถึงว่านายจะโผล่มาแบบนี้ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ประหยัดเวลา แถมยังจับหนอนบ่อนไส้ได้อีกต่างหาก ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย!” พูดจบเขาก็ดึงบัตรเชิญแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยืนยันว่าไม่ได้โกหก
เมื่อความเข้าใจผิดคลี่คลาย เหอเจ๋อก็เข้าใจการกระทำของตระกูลจางเป็นอย่างดี พวกนั้นก็รู้อยู่หรอกว่าคนในตระกูลนักสู้โบราณน่ะ รวยล้นฟ้ากันทั้งนั้น กำลังซื้อสูงลิ่ว ตระกูลจางเลยต้องทำแบบนี้เพื่อระดมทุน
แต่แบบนี้ เหอเจ๋อคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้วล่ะ เพราะโสมพันปีที่เขาหมายตาไว้น่ะ เข้าขั้นอันตรายแล้ว
MANGA DISCUSSION