บทที่ 46 ข่มขู่
เติ้งหมิงเจี๋ยลุกขึ้นจากเตียง เดินไปเปิดหน้าต่าง มองภาพท้องถนนและผู้คนพลุกพล่านและผู้คนคึอยู่นอกหน้าต่าง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบางคน ใบหน้าเปื้อนยิ้ม พูดว่า “ท่านผบ. หวังครับ ผมหมิงเจี๋ยเอง ขออภัยจริง ๆ โทรหาท่านยามวิกาลแบบนี้ พอดีว่ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น…”
ขณะที่โอวเทียนเหิงกำลังสอบสวนอย่างหนักหน่วงตลอดทั้งคืน เขาก็พบเข้ากับเรื่องไม่คาดคิด หัวหน้าแก๊งคนนี้ชื่อ ‘หวังเอ้อร์กุ้ย’ เป็นอาชญากรที่หลบหนีการจับกุมมาหลายปี มีคดีฆาตกรรมติดตัวห้าถึงหกคดี
การจับกุมครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าจับปลาตัวใหญ่ได้ โอวเทียนเหิงและลูกน้องของเขายิ่งทุ่มเทมาดขึ้น ใช้เวลาทั้งคืนสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหกคนอย่างละเอียด
ด้วยคำให้การเท็จของเหอเจ๋อ ทำให้หวังเอ้อร์กุ้ยและพรรคพวกโกรธแค้นเหอซู่โหรวอย่างมาก พวกเขาไม่คิดจะปกป้องเธออีกต่อไป จึงยอมสารภาพเรื่องราวออกมาหมดเปลือก
โอวเทียนเหิงและพรรคพวกต่างตกตะลึง เหอซู่โหรวเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในเมืองกว่างหนาน ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเพิ่งติดต่อกับพวกเขาเมื่อไม่นานมานี้ ไม่คิดว่าเธอจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีลักพาตัวในครั้งนี้
แล้วคนที่มีฐานะอย่างเธอ ทำไมถึงต้องลักพาตัวพยาบาลตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งด้วย?
โอวเทียนเหิง ผู้คร่ำหวอดในการสืบสวนมาอย่างยาวนาน ตระหนักได้ว่าอาจมีการสมรู้ร่วมคิดเบื้องหลังคดีที่ร้ายกาจนี้ซ่อนอยู่
ขณะที่เขากำลังเตรียมพร้อมที่จะลงมืออย่างเต็มที่ ‘หวังเหอ’ ผู้บังคับบัญชาของเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับท้องป่องและเสียงหอบหายใจ
“ท่านผบ.หวัง ดึกป่านนี้แล้ว ทำไมถึงมาที่นี่ครับ? พอดีเลยผมมีเรื่องสำคัญจะรายงานให้ท่านทราบ” โอวเทียนเหิงรีบลุกขึ้นต้อนรับ พูดอย่างตื่นเต้น
หวังเหอไม่แม้แต่จะปรายตามอง ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ด้วยท่าทางโอหัง พูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียว่า “งั้นก็พูดมาสิ”
โอวเทียนเหิงคลุกคลีอยู่ในแวดวงข้าราชการมานาน รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ในเมื่อยังไม่กระจ่าง เขาก็ยังคงรายงานเรื่องราวทั้งหมดออกไปตามตรง
“หืม? ” หวังเหอแสร้งทำเป็นตกใจ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูด “ไม่น่าจะใช่? ฉันเคยติดต่อกับเหอซู่โหรว เธอทั้งสุภาพเรียบร้อย ผู้หญิงแบบนั้นจะทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอยังไง?”
หัวใจของโอวเทียนเหิงพลันหนักอึ้ง แต่เขาก็ยังคงพยายามพูดต่อไปว่า “แต่ผู้ต้องสงสัยสารภาพแล้ว และยังมีบันทึกการโทรและบันทึกธุรกรรมระหว่างพวกเขามาเป็นพยานหลักฐานชัดเจน”
หวังเหอโบกมือ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยว่า “เทียนเหิง สมัยนี้ คนเรามักจะมีความอิจฉาริษยาคนรวย เป็นเรื่องปกติ โจรกระจอกแบบนั้นจะมีปัญญาไปรู้จักกับคนใหญ่คนโตอย่างคุณเหอได้ยังไง เขาต้องกุเรื่องขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายเธอแน่”
เขาสองมือประสานกันบนหน้าท้อง ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางพูดว่า “ช่วงนี้คุณคงเหนื่อยมากนะ เอาอย่างนี้นะ อีกสองวันจะมีโอกาสไปดูงานที่ต่างประเทศ เธอพาลูกน้องคนนั้นไปด้วยเลยนะ ส่วนคดีนี้เดี๋ยวฉันให้หวังเผิงรับช่วงต่อเอง”
โอวเทียนเหิงกำหมัดแน่น ดวงตาฉายแววไม่ยินยอม แต่เขาก็รู้ดีว่า การไปดูงานต่างประเทศที่ว่า แท้จริงแล้วก็คือการท่องเที่ยวโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน ก่อนหน้านี้ โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่เคยตกถึงมือเขา ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะใช้ผลประโยชน์นี้มาปิดปากเขาเสียแล้ว
ส่วนหวังเผิง ที่จะมารับช่วงต่อคดีนี้ เป็นหลานชายของหวังเหอ ดูท่าทางจะชัดเจนแล้ว ดูท่าเหอซู่โหรวคงจะหาคนมาเคลียร์ทางให้เรียบร้อยแล้ว
“มีอะไร? เทียนเหิง ไม่อยากไปเหรอ?” หวังเหอพูดด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ “นี่เป็นโอกาสที่ดีนะ ถ้าไม่ขยันเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง แล้วเมื่อไหร่จะได้เลื่อนตำแหน่งล่ะ?”
แววตาของโอวเทียนเหิงหรี่ลง หวังเหอจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้ เริ่มใช้หน้าที่การงานมาเป็นเครื่องมือข่มขู่เขาแล้ว เขาเป็นเสาหลักของครอบครัว พ่อแม่ก็แก่ชรา ลูก ๆ ก็ยังเรียนหนังสือ เขาจึงจำต้องยอมก้มหัวให้กับความจริง เขาพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงว่า “ผมเข้าใจแล้ว”
หวังเหอยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ไปเที่ยวพักผ่อนให้สนุกนะ ฉันไม่อยากได้ยินข่าวลืออะไรแปลก ๆ หลุดออกมา”
โอวเทียนเหิงเดินออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียว มองท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิด หวนนึกถึงคำสาบานที่เคยกล่าวไว้ในวันจบการศึกษาจากโรงเรียนตำรวจ ชายผู้แข็งแกร่งคนนี้ กลับต้องหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบงัน
เช้าวันรุ่งขึ้น บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์กว่างหนานรายวัน ลงพาดหัวข่าวสะดุดตา
‘เด็กหนุ่มผู้เฉลียวฉลาด ต่อสู้กับคนร้ายใจโหด ช่วยเหลือตัวประกันได้สำเร็จ!’
เนื้อหาข่าวส่วนใหญ่เป็นการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ แต่มีการปรุงแต่งรายละเอียดบางส่วน เช่น บรรยายให้คนร้ายดูโหดเหี้ยมมากขึ้น และด้วยการ ‘ดูแล’ จากกานหลิงและบรรณาธิการ เหอเจ๋อก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและสติปัญญา คำยกย่องสรรเสริญเหล่านั้น ทำให้เขารู้สึกอับอายไม่น้อย
แต่ก็ยังคงเป็นไปตามข้อตกลงในการรักษาความลับ ใช้ชื่อและรูปถ่ายปลอมทั้งหมด และยังทำภาพเบลออีกด้วย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความจริง
แน่นอนว่าเหอหย่งฝูเป็นหนึ่งในนั้น หลังจากวางเอกสารที่จางเหวินฉีนำมาให้ลง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลาบปลื้มใจ พูดอย่างมีความสุข “เด็กคนนี้ ไม่ธรรมดาจริง ๆ”
จางเหวินฉีเป็นคนช่างสังเกต แถมยังใช้ชีวิตร่วมกับเหอหย่งฝูมานานกว่ายี่สิบปี จึงคาดเดาความคิดของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งไปกว่านั้น จากการไปสืบเรื่องที่เมืองเล็ก ๆ ครั้งก่อน ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้ลาง ๆ แล้ว
แต่บางครั้ง การเปิดเผยความจริงออกมาก็ไม่ใช่เรื่องสนุก หญิงสาวฉลาดพอที่จะไม่ทำเรื่องที่เหนื่อยเปล่าและไม่เกิดประโยชน์แบบนั้น
หลังจากพูดเรื่องดี ๆ จบแล้ว ก็ต้องพูดถึงเรื่องไม่ดีกันบ้าง
“เมื่อคืนนี้ เติ้งเซิ่งชางถูกคนลักพาตัวที่โรงแรมค่ะ”
คิ้วของเหอหย่งฝูขมวดเข้าหากันทันที เขารู้จักนิสัยของหลานชายคนนี้ดี จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและพูดว่า “เขาไปสร้างความแค้นกับใครอีกล่ะ? ไม่เคยทำให้ฉันสบายใจได้เลยสินะ”
แม้แต่หลานชายแท้ ๆ ยังได้รับการปฏิบัติแย่กว่าหมอประจำตัว?
แววตาของจางเหวินฉีฉายแววเจ้าเล่ห์ รู้กันดีว่าเหอหย่งฝูให้ความสำคัญกับครอบครัวมากแค่ไหน ความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดนี้ช่างน่าค้นหาจริงเชียว
“อีกฝ่ายต้องการค่าไถ่ตัวสิบล้านหยวน ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอื่นใด ดูเหมือนจะเป็นคดีลักพาตัวธรรมดาค่ะ”
เหอหย่งฝูขมวดคิ้วแน่น กล่าวอย่างหงุดหงิด “ถ้ามันจะเอาเงิน ก็ให้มันไปก็สิ้นเรื่อง สิบล้านหยวน ไม่ได้มากมายอะไร ความปลอดภัยของคนสำคัญกว่า”
จางเหวินฉีรับคำสั่งแล้วเดินออกไป เหอหย่งฝูหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกดีใจ อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “ฟางเฟย นี่คือลูกของเราจริง ๆ เหรอ?”
……
จนกระทั่งฟ้าสาง เหอซู่โหรวได้รับโทรศัพท์จากหวังเหอ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักตลอดทั้งคืนประเดประดังเข้ามา เปลือกตาหนักอึ้ง นั่งหลับบนโซฟาได้ไม่นาน โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ในใจของเธอไม่อยากรับสายเลยสักนิด แต่เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ในตอนนี้ เธอกลัวว่าจะพลาดข่าวสารสำคัญ จึงจำใจต้องฝืนตัวเองรับสาย
[อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนายเหอ]
เสียงทุ้มต่ำจากปลายสาย ทำให้เหอซู่โหรวรู้สึกตัวขึ้นมาในทันที เธอกัดริมฝีปากแน่น และถามด้วยน้ำเสียงประหม่าว่า “ลูกชายของฉันเป็นยังไงบ้าง?”
MANGA DISCUSSION