บทที่ 45 เสียเปรียบตรงไหน
หวงเทียนเหยาคลายคิ้วขมวดออก ปากพร่ำบ่นว่า “อย่าพูดถึงไอ้เด็กเวรนั่นเลย ฉันว่าสวรรค์ส่งมันมาทารุณฉันแน่ ๆ”
“ผู้เฒ่าหวง พูดแบบนี้ผมก็เสียใจแย่สิ ผมอุตส่าห์ช่วยรักษาคุณอย่างยากลำบาก แถมยังช่วยตามหาหลานสาวให้ ไม่คิดเลยว่าคุณจะไม่สำนึกบุญคุณยังมาแอบด่าผมลับหลังอีก มันทำให้ผมเศร้าใจจริง ๆ”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงพูดคุยหยอกล้อดังมาจากนอกประตู หัวใจของอาจารย์และศิษย์ทั้งสามเต้นระรัว จากน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย ก็พอจะเดาออกว่าเป็นใคร จึงอดตื่นเต้นไปพร้อมกันไม่ได้
แน่นอนว่า พวกเขาไม่ปล่อยให้ทั้งสามรอนาน เสียงใสดุจกระดิ่งเงินก็ดังขึ้น พร้อมความตื่นเต้นและดีใจ
“คุณปู่ หนูกลับมาแล้วค่ะ”
ไม่ว่าหวงเทียนเหยาจะปากแข็งแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลานสาวที่น่ารักและรู้ความ ก็ทั้งรักและเอ็นดูเธออย่างถึงที่สุด พอได้ยินดังนั้น ก็ไม่สนว่าร่างกายจะอ่อนแอเพียงใด พยายามยันตัวลุกขึ้น ตั้งใจจะออกไปรับ
หวงจิงจิงเร็วกว่านั้น ยังไม่ทันที่เขาจะลุกขึ้นยืน เธอก็พุ่งเข้ามา โผเข้ากอดเขาไว้แน่น น้ำตาไหลพราก ร้องไห้สะอึกสะอื้น “จิงจิงไม่ดีเอง ทำให้คุณปู่ต้องเป็นห่วง”
ตอนนี้หวงเทียนเหยาจะไปตำหนิเธอลงได้อย่างไร น้ำตาแห่งวัยชราไหลริน พูดว่า “ไม่เป็นไร กลับมาได้ก็ดีแล้ว”
มองดูภาพที่อบอุ่นนี้ ในใจของเหอเจ๋อเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ด้านหนึ่งเขารู้สึกว่าความเหน็ดเหนื่อยไม่ได้สูญเปล่า ส่วนอีกด้านก็แอบหวังว่า เมื่อไหร่ที่ตัวเองจะได้กลับมารวมตัวกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว หลังจากวุ่นวายกันมาทั้งคืน ทุกคนก็เหนื่อยล้ากันมากจริง ๆ หวงจิงจิงอยากจะให้เหอเจ๋อนอนค้างที่นี่สักคืน แต่เติ้งเฉิงชางยังถูกขังอยู่ในบ้าน เขาคงจะนอนไม่หลับแน่ จึงปฏิเสธไปอย่างสุภาพ และขับรถตู้คันเก่านั้นออกไป
หลังจากไปส่งเขาแล้ว หวงเหยียนก็ถอนหายใจ พูดด้วยความรู้สึกว่า “ดูท่า เราคงจะได้ไปดื่มเหล้าฉลองแต่งงานกันในเร็วๆ นี้แล้วล่ะ”
ถานเหว่ยซ่งถามอย่างงุนงง “หมายความว่าไง ดื่มเหล้าฉลองงานแต่งใคร?”
หวงเหยียนต่อยไหล่เขาไปหนึ่งที พูดด้วยรอยยิ้ม “ก็จิงจิงน่ะสิ แกลองคิดดู ที่นี่เรามีห้องว่างเหลือที่ไหนบ้าง เหอเจ๋อจะไปนอนที่ไหนได้ คงไม่น่าจะไปนอนห้องอาจารย์หรอก สาว ๆ นี่โตขึ้นแล้วก็ไม่อยากอยู่ติดบ้านเลยสินะ!”
ถานเหว่ยซ่งเข้าใจขึ้นมาทันที
หวงจิงจิงที่เดินนำหน้าอยู่ บังเอิญได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนเข้า อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี สบถออกมาคำหนึ่ง รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ทว่าดูจากท่าทางของเธอแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนกำลังหนีอย่างอับอายมากกว่า
เหอเจ๋อขับรถกลับถึงบ้าน เป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว เห็นไฟในห้องข้าง ๆ ยังสว่างอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะผลักประตูเข้าไปด้วยความสงสัย
“ดึกป่านนี้แล้ว คุณยังไม่นอนอีกเหรอ?”
กวนหลิงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเขาเดินเข้ามา ความกังวลในใจก็ผ่อนคลายลง พูดอย่างหัวเสียว่า “นายนี่ไม่มีมารยาทจริง ๆ เข้ามาไม่รู้จักเคาะประตู ดีนะที่ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังพันผ้าขนหนูอยู่ ถ้าฉันไม่ใส่เสื้อผ้า แล้วนายเข้ามาจะทำยังไง?”
เหอเจ๋อมองดูอย่างตั้งใจ เห็นกวนหลิงพันผ้าขนหนูสีชมพูปิดบังส่วนสำคัญของร่างกายเอาไว้ เผยให้เห็นขาเรียวยาวกับไหล่ขาวเนียน สัดส่วนโค้งเว้า เผยให้เห็นอย่างชัดเจน ผมยาวสยายไปด้านหลังอย่างไม่ตั้งใจ สาวงามเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ช่างเป็นภาพที่น่ามองจริง ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เหอเจ๋อค้นพบว่า แม่เสือสาวคนนี้มีดีกว่าที่คิด ด้วยหลักการที่ว่าเป็นสุภาพบุรุษได้ แต่อย่าให้เสียโอกาส เขาจึงเหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วละสายตาทันที พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “งั้นก็ถือว่าผมเสียเปรียบไปก็แล้วกัน?”
กวนหลิงโมโหจนหน้าเบี้ยว ตาเบิกโพลง พูดอย่างโมโหว่า “นายจะเสียเปรียบตรงไหน?”
เหอเจ๋อยักไหล่ ทำหน้าตาไร้เดียงสา พูดว่า “ถ้าเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าให้86Iเห็น เธอคิดว่าใครจะเสียเปรียบล่ะ?”
“ก็ฉันเสียเปรียบสิ!” กวนหลิงตอบอย่างไม่ลังเล
เหอเจ๋อยักไหล่ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ผมก็เสียเปรียบแบบนี้ไง”
กวนหลิงโกรธจนตัวสั่น ถ้าไม่ติดว่าพันผ้าขนหนูอยู่ คงจะกระโดดถีบเขาไปแล้ว
เหอเจ๋อก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่กล้าทำเกินเลย ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้ว
เขาทำหน้าทะเล้น จงใจมองไปที่หน้าอกอวบอิ่มของกวนหลิง แล้วหันหลังวิ่งหนี ก่อนจะจากไปก็ทิ้งท้ายไว้ว่า
“คุณนี่ปิดบังเอาไว้ได้แนบเนียนที่สุดเลยนะ!”
กวนหลิงโมโห ตบโต๊ะดังปัง แต่ไม่นานก็หายโกรธและดีใจแทน เพราะผู้หญิงคนไหนก็ชอบให้คนอื่นชม
หลังจากจัดการกับอารมณ์ของตัวเองแล้ว หยิบต้นฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะ ชื่อว่า ‘ตำรวจและประชาชนร่วมมือกัน ไขคดีลักพาตัวได้ในคืนเดียว’ ขึ้นมาอ่านทวนอีกครั้ง จากประสบการณ์ที่เธอทำงานเป็นนักข่าวมาหลายปี รายงานข่าวแบบที่ทั้งอวยผลงานของรัฐบาล และสร้างภาพลักษณ์วีรบุรุษของประชาชนแบบนี้ ต้องเป็นข่าวใหญ่โตแน่ ถึงตอนนั้น เธอก็คงจะได้รับผลพลอยได้ โบนัสคงจะได้ไม่น้อย
“ฮึ่ม ไอ้เด็กบ้า อันที่จริงฉันอยากจะให้ค่าสัมภาษณ์นายสามพันหยวน ตอนนี้ดูท่าจะต้องหักลบกลบหนี้กันไปแล้ว”
ถ้าเหอเจ๋อได้ยินคำพูดนี้ คงจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด พลางบ่นในใจว่า ‘ฉันไปเที่ยวที่หรูหราที่สุดมาแล้ว ยังไม่แพงขนาดนี้เลย!’
หลังจากกลับเข้าห้องแล้ว เหอเจ๋อก็ไม่ได้พักผ่อนทันที มองดูเติ้งเฉิงชางที่นั่งนิ่งเหมือนท่อนไม้บนโซฟา พลันรู้สึกหนักใจ
ตอนแรกที่ลักพาตัวเขามา ก็เพราะอยากจะใช้เป็นตัวประกันแลกกับหวงจิงจิง แต่ตอนนี้คนก็ช่วยออกมาได้แล้ว เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้เห็นความร้ายกาจของระบบระบุตำแหน่งผ่านดาวเทียมแล้ว ไม่แน่อาจจะมีตำรวจตามมาอีก ถ้าโดนตั้งข้อหาลักพาตัว คงจะไม่สนุกแน่
“หรือจะปล่อยไปง่าย ๆ แบบนี้”
เหอเจ๋อก็ไม่อยากทำแบบนั้น จากท่าทางของเหอซู่โหรว เขามั่นใจมากว่า คนที่ลักพาตัวหวงจิงจิงไป ต้องเกี่ยวข้องกับแม่ลูกคู่นี้อย่างแน่นอน ถ้าปล่อยเติ้งเฉิงชางไปง่าย ๆ ก็เท่ากับใจดีกับคนเลวพวกนี้เกินไป
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงโสมร้อยปีที่ใช้รักษาหวงเทียนเหยา ในใจก็คิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้
ยามราตรีผ่านพ้นไป ทว่าภายในคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลเติ้งยังคงสว่างไสว
ตอนที่หวังเอ้อกุ้ยและพรรคพวกโดนจับ เหอซู่โหรวก็ได้ข่าวแล้ว รู้ว่าเรื่องใหญ่โตแล้ว จนปัญญาจะแก้ไข จึงได้แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาเติ้งหมิงเจี๋ยสามีของเธอ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียด
เติ้งหมิงเจี๋ยอยู่ไกลถึงอเมริกา นอนอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ในโรงแรมห้าดาว หลังจากฟังภรรยาเล่าจบ ก็ตบไหล่สาวผมทองตาฟ้าสองคนที่นอนเปลือยกายอยู่ข้าง ๆ เป็นเชิงบอกให้พวกเธอออกไปก่อน พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า [เรื่องนี้พวกเธอทำอะไรใจร้อนเกินไป แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เธอก็อย่าเพิ่งกังวลไป ฉันจะโทรศัพท์ไปหาคนใหญ่คนโตที่รู้จักให้ แค่ตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง คงทำอะไรไม่ได้มากหรอก]
เมื่อได้ยินสามีพูดเช่นนั้น ความตึงเครียดในใจก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบสองสามประโยค แล้วก็วางสายไป
MANGA DISCUSSION