บทที่ 41 ฆ่าหมูห้าสิบตัว
เหอซู่โหรวอ้าปากค้าง พูดไม่ออก
หนังสือพิมพ์กว่างหนานรายวันที่กวนหลิงทำงานอยู่ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเมืองกว่างหนาน เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลักฐานวิดีโอที่ชัดเจน หากยังคิดจะใส่ร้ายป้ายสี ก็เท่ากับเบื่อชีวิตเต็มทีแล้ว
ตอนนี้ชะตาชีวิตผันผวน อาวุธทางความคิดเห็นซึ่งเป็นเครื่องมือที่เธอใช้ควบคุมโอวเทียนเหิงและคนอื่น ๆ ได้ถูกเหอเจ๋อทำลายลงอย่างง่ายดาย ตอนนี้หล่อนทำได้เพียงอ้อนวอนขอร้องเขาเท่านั้น
แต่เมื่อนึกถึงท่าทีหยิ่งยโสที่เธอแสดงต่อโอวเทียนเหิงเมื่อครู่นี้ หากตอนนี้ก้มหัวขอร้องเขา ย่อมไม่ต่างจากการตบหน้าตัวเอง
เหอซู่โหรวไม่อาจทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองได้ จึงได้แต่มองดูพวกเขาจากไป
“ฮึ่ม โล่งอกไปที! ผู้หญิงคนนี้แค่มีเงินหน่อยเดียว ก็ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง สั่งเราไปนู่นมานี่ ทำเหมือนเราเป็นคนรับใช้ในบ้านของหล่อน”
ทันทีที่ออกจากบ้าน ตำรวจหนุ่มที่รับผิดชอบการดักฟังก็บ่นออกมา เขาเป็นบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ถือเป็นตำรวจฝ่ายเทคนิคระดับแนวหน้า ไม่เคยถูกปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ในใจรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
โอวเทียนเหิงแอบหัวเราะในใจ แต่ปากกลับพูดอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวอู๋ พวกเราเป็นตำรวจต้องเจอกับคนมากหน้าหลายตา ต้องเข้าใจความรู้สึกเร่งรีบของคนที่มาแจ้งความด้วย”
เสี่ยวอู๋เพียงแค่บ่นไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าทะเล้น แล้วขึ้นรถตำรวจตรงไปยังโรงงานปูนซีเมนต์ที่เกิดเหตุทันที
ในรอบยี่สิบกว่าปีที่หวงจิงจิงจำความได้ วันนี้ถือเป็นวันที่เคราะห์หนักที่สุด
เริ่มจากตัดสินใจลาออกจากงานที่สอบเข้าได้อย่างยากลำบากเมื่อหลายปีก่อน จากนั้นก็พบกับการลักพาตัวที่เคยเห็นแต่ในละคร จนกระทั่งมีดเล่มนั้นจ่ออยู่ที่คอของ หญิงสาวยังรู้สึกเหมือนฝันไป คิดว่านี่เป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก
จนกระทั่งหวังเอ้อร์กุ้ยมือสั่นเพราะตึงเครียดเกินไป เผลอทำมีดบาดคอของเธอเป็นรอยเล็ก ๆ ความหนาวเหน็บที่แทรกซึมเข้าไปในกระดูกและเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกของยมทูตดังก้องอยู่ในหู ทำให้สมองของหญิงสาวตื่นขึ้นมาทันที
ก่อนหน้านั้นหวงจิงจิงดูเหมือนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เชื่อฟังอย่างว่าง่าย ยืนนิ่งราวกับท่อนไม้ พอได้สติก็เริ่มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
“ช่วยด้วย! ฉันถูกลักพาตัว!”
ตำรวจที่อยู่ไม่ไกลเหงื่อแตกพลั่ก ๆ ความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้เชื่องช้าจริง ๆ โคจรรอบโลกได้สิบยี่สิบรอบ อย่างน้อยก็ช้ากว่าโฆษณาชานม
เดิมทีหวังเอ้อร์กุ้ยเครียดอยู่แล้ว พอหวงจิงจิงทำแบบนี้ เขาก็ต่อยเข้าที่ท้องของหล่อนอย่างแรง พร้อมกับตะคอกด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “เชื่อฟังฉัน ถ้าอยากอายุยืน ก็อยู่เฉย ๆ อย่ารนหาที่ตาย”
เนื่องจากอารมณ์ฉุนเฉียว เขาจึงลงมืออย่างไม่ปรานี หมัดของชายคนนั้นต่อยเข้าที่ท้องของหวงจิงจิง ใบหน้าสวยซีดเผือดลงในพริบตา เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามกรอบหน้า เสื้อผ้าเปียกชุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ
“พี่ใหญ่ พวกเราอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้ตำรวจจะยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องรีบหาวิธีออกจากที่นี่แล้ว” โหวจื่อที่ทำหน้าที่ดูต้นทางพูดแนะนำขณะที่ก้มตัวลง ในมือถือกล้องส่องทางไกล
หวังเอ้อร์กุ้ยเป็นคนที่เข้าออกคุกมาแล้วสามครั้ง มีสติในการต่อต้านการสืบสวนอย่างมาก กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก เขาคว้าคอเสื้อของหวงจิงจิง ตะโกนเสียงดังว่า “พวกตำรวจ ฟังให้ดี พวกแกมีเวลาสิบนาทีในการเตรียมรถมา ไม่งั้นฉันจะตัดแขนผู้หญิงคนนี้ทิ้งซะ!”
ในเวลานั้นโอวเทียนเหิงก็มาถึงที่เกิดเหตุพอดี รองหัวหน้ารีบรายงานสถานการณ์ให้เขาทราบ ต่อหน้ากล้องวิดีโอของกวนหลิง เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม จึงโบกมืออย่างไม่ลังเล พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวประกันเป็นหลัก ตกลงตามข้อเรียกร้องของคนร้าย เตรียมรถ!”
รองหัวหน้ารับคำสั่งกำลังจะจากไป ก็ถูกชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ ขวางเอาไว้
“ผมจะเป็นคนขับรถเอง!” เหอเจ๋อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
รองหัวหน้าไม่รู้จักเขา ชะงักไปชั่วขณะ คิดว่าเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน จึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นายจะมายุ่งอะไรด้วย? นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย ไปให้พ้น!”
เหอเจ๋อไม่มีทีท่าว่าจะหลบให้ ยังคงยืนยันว่า “ถ้าคนอื่นไป ผมไม่สบายใจ ให้ผมไปเถอะ!”
รองหัวหน้าโกรธจัด ตะคอกด้วยความโมโหว่า “นายเป็นใคร? พวกคนร้ายมันใจหินทั้งนั้น พูดไม่เข้าหูก็ยิงหัวนายได้! ถ้านายเบื่อชีวิต ก็ไปหาที่เงียบ ๆ แล้วกระโดดหน้าผาตายไป อย่ามาขัดขวางพวกเราช่วยชีวิตคน”
โอวเทียนเหิงตบไหล่รองหัวหน้า กระแอมไอ แล้วพูดว่า “ลุงซุน ใจเย็น ๆ หน่อย มีนักข่าวอยู่นะ…”
เมื่อได้ยินคำพูดของโอวเทียนเหิง อารมณ์อิจฉาและดื้อรั้นของซุนหัวก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ตาของเขาเบิกกว้างเท่ากระดิ่งวัว ขัดจังหวะโอวเทียนเหิงแล้วพูดอย่างโมโหว่า “นักข่าวอยู่แล้วไง? ในฐานะตำรวจ หน้าที่ของฉันคือต่อสู้กับพวกผู้ร้ายและช่วยเหลือผู้คน แม้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะไม่กลัวตาย แต่ฉันก็ยังต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวประกันด้วย จะไม่ยอมให้พวกคนพวกนี้ทำร้ายเขาเด็ดขาด…”
โอวเทียนเหิงเห็นว่าเขายิ่งพูดยิ่งโมโห จึงขัดจังหวะ แล้วขึ้นเสียงพูดว่า “ลุงซุน คุณยังจำฮีโร่ที่เสียสละเพื่อคนอื่นได้ไหม? คุณเห็นคลิปของเขาก็เลยบอกว่าเขาเป็นไอดอลของตัวเอง แล้วคอยถามชื่อกับผมอยู่ตลอด?”
ซุนหัวชะงักไปครู่หนึ่ง พูดด้วยความงุนงงว่า “ใช่ เคยมีเรื่องแบบนั้น จะถามเรื่องนี้ทำไม? ไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้ฉันรีบไปช่วยตัวประกัน รีบหลบไป!”
โอวเทียนเหิงชี้ไปที่ชายหนุ่มที่ขวางทาง แล้วพูดอย่างจนใจว่า “เขานี่แหละ คนคนนั้น”
สีหน้าของซุนหัวแข็งค้าง ตอนแรกเขาใจร้อนรีบร้อนเลยไม่ได้สังเกตหน้าตาของชายหนุ่ม พอจ้องมองดูอย่างตั้งใจ ก็พบว่าหน้าเหมือนกับในคลิปทุกประการ
ซุนหัวรู้สึกอับอายมาก ใบหน้าที่เคยเข้มงวดเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขาเกาหัวตัวเองราวกับเด็ก พูดด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “ขอโทษทีนะ เมื่อกี้ฉันจำนายไม่ได้”
เหอเจ๋อก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าเป็นไอดอลของอีกฝ่าย เขาก็ต้องแสดงท่าทีของ ‘ผู้วิเศษ’ ออกมา จึงกระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “ถ้าพวกคนร้ายคิดจะทำอะไรผมจริง ๆ ผมก็อาจจะจับพวกมันได้สักสองสามคน ถ้าเป็นคนอื่นก็คงลำบาก”
หลังจากที่ซุนหัวได้ดูวิดีโอที่เขาต่อสู้กับอันธพาลสิบกว่าคนจบ ก็รู้สึกชื่นชมชายหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างมาก ยกนิ้วให้อย่างนับถือแล้วพูดว่า “นั่นแน่ ๆ หากนายลงมือด้วยตัวเอง ไม่ว่าคนร้ายจะมีห้าคนหรือห้าสิบคน พวกนั้นก็ต้องยอมแพ้อย่างแน่นอน”
กวนหลิงอดขำไม่ได้ เหอเจ๋อก็หมดคำพูด ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นถึงผู้ฝึกฝนขั้นชาญยุทธ์ แต่เขาก็ไม่ใช่ซูเปอร์แมน แม้ว่าจะต้องฆ่าหมูห้าสิบตัว เขาก็คงเหนื่อยจนหมดแรง
การที่ซุนหัวสามารถพูดจาประจบประแจงแบบที่ฟังแล้วเขินได้ขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ตรงไปตรงมา และไต่เต้าขึ้นมาด้วยความสามารถที่แท้จริง
โอวเทียนเหิงรู้จักนิสัยของรองหัวหน้าดี การที่เขาพูดประจบประแจงแบบนี้ ยากกว่าให้เขาออกไปยืนตากแดดฝึกซ้อมทั้งวันเสียอีก เขาเลยตัดสินใจพูดขึ้นเพื่อทำลายความอึดอัด “ถ้าอย่างนั้นเหอเจ๋อ ลำบากนายแล้วนะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามความปลอดภัยต้องมาก่อน”
MANGA DISCUSSION