บทที่ 38 หน้าด้าน
บริเวณชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองกว่างหนานมีโรงงานร้างขนาดใหญ่ เดิมเป็นโรงงานผลิตปูนซีเมนต์มาก่อน ต่อมาเนื่องจากการวางผังเมืองจึงได้ย้ายไปยังที่ไกลออกไป และปล่อยให้โรงงานรกร้างเหล่านี้ไว้
การผลิตปูนซีเมนต์จำเป็นต้องระเบิดภูเขาเพื่อแยกหิน พื้นที่บริเวณนี้จึงเป็นเขตมลพิษทางฝุ่นละอองร้ายแรง แม้ว่าโรงงานปูนซีเมนต์จะย้ายออกไปแล้ว แต่ช่วงเวลากลางวันแทบไม่มีผู้คน ไม่ต้องพูดถึงยามค่ำคืนที่เงียบสงบ หนูสักตัวเดียวก็ไม่มี
ภายในกระท่อมหลังเล็กที่ไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง กลับมีเงาคนห้าหกคนเคลื่อนไหวไปมา หากพวกเขาไม่ได้คาบก้นบุหรี่ และมีเสียงสาปแช่งเป็นระยะ ก็คงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผีไปแล้ว
หวังเอ้อร์กุ้ยชายที่มีหนวดเคราเต็มหน้ารู้สึกว่าโทรศัพท์สั่น จึงก้มลงดูหมายเลข เมื่อเห็นเบอร์ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในทันที เงินที่เหอซู่โหรวให้เขามาก็ไม่น้อย และผู้หญิงคนนี้ยังมีอิทธิพลในเมืองกว่างหนานอีกมาก หากทรยศเธอ เขาจะต้องถูกตามล่าล้างแค้นอย่างแน่นอน
เมื่อคิดเรื่องนี้ได้ เขาก็ยิ้มอย่างเศร้าใจและพูดอย่างน่าเสียดายว่า “เงินของแกมันร้อนมือเกินไป ฉันรับไว้ก็อาจจะเอาชีวิตไม่รอด พวกเราจะปล่อยตัวเธอทันทีที่เห็นแกออกจากเมืองกว่างหนาน แกไม่ต้องห่วง”
หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่พูดอะไรอีก รีบวางสาย เก็บโทรศัพท์ แล้วหันกลับไปมองหวงจิงจิงที่ถูกมัดมือมัดเท้าไว้ในห้อง พ่นลมหายใจแล้วพูดอย่างหื่นกาม “สาวน้อยคนนี้ทั้งสวยทั้งเซ็กซี่ ทำให้ลุงใจร้อนรนแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เหอเจ๋อ ถึงยอมจ่ายห้าล้านเพื่อแลกกับความปลอดภัยของเธอ น่าเสียดายที่ลุงไม่กล้ารับ”
คนร้ายที่เหลือต่างหัวเราะออกมา รวมหัวกันพูดเรื่องหยาบคาย ไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าซับซ้อนในดวงตาของหวงจิงจิง
ภายในคฤหาสน์หรูของเหอซู่โหรว เหอเจ๋อมองไปที่โอวเทียนเหิงและถามด้วยความกังวล “เป็นยังไงบ้าง? ระบุตำแหน่งได้หรือยังครับ?”
เหอซู่โหรวก็อยากจะเอาหูแนบไว้ฟังเช่นกัน ใจเต้นระส่ำอย่างกังวล เกรงว่าจะได้รับข่าวร้าย
โอวเทียนเหิงส่ายหน้าและพูดอย่างน่าเสียดายว่า “ขาดอีกนิดเดียว เราไม่มีพิกัดที่แน่นอน แต่มีขอบเขตคร่าว ๆ ฉันจะติดต่อไปที่หน่วยเพื่อให้พวกเขาเข้าไปตรวจค้นแบบปิดล้อม
เหอเจ๋อพยักหน้าเงียบ ๆ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่เงียบลงชั่วขณะ เหอซู่โหรวนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา ใบหน้าดูสงบนิ่ง มองไม่ออกความผิดปกติ แต่ในใจกลับร้อนรนเหมือนมดบนกระทะร้อน
หลังจากทราบความสัมพันธ์ระหว่างเหอเจ๋อกับหวงจิงจิงจากเติ้งเฉิงชาง เธอก็ใช้เงินจำนวนหนึ่งในการหาหวังเอ้อร์กุ้ยให้ลักพาตัวหวงจิงจิง ต้องการใช้ความปลอดภัยของผู้หญิงคนนี้มาข่มขู่เหอเจ๋อ บังคับให้เขาออกจากเมืองกว่างหนาน
เดิมทีทุกอย่างราบรื่น แต่เธอไม่คาดคิดว่าหวังเอ๋อร์กุ้ยจะโง่ขนาดนี้ ถึงได้เปิดเผยตำแหน่งของตัวเองออกมา การจับกุมแบบปิดล้อมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หากคนร้ายถูกตำรวจจับได้ ไม่เพียงแต่แผนทั้งหมดจะล้มเหลว แต่อาจจะทำให้เรื่องอื่น ๆ ของเธอถูกเปิดเผยออกมาด้วย
ถึงตอนนั้นก็สายเกินแก้แล้ว!
ตอนนี้มีทางเดียวคือทำลายให้สิ้นซาก
แววตาหญิงวัยกลางคนเผยให้เห็นถึงความเด็ดขาด เหลือเพียงการสั่งหวังเอ้อร์กุ้ยฆ่าหวงจิงจิงโดยตรงเท่านั้น อาศัยจังหวะที่ตัวเองยังไม่ถูกเปิดเผย รีบถอนตัว แล้วหาคนจำนวนหนึ่งให้กำจัดหวังเอ้อร์กุ้ยทิ้ง เธอจึงจะสามารถรับประกันได้ว่าความลับทั้งหมดจะไม่ถูกเปิดเผยตลอดไป
เหอซู่โหรวชอาศัยสถานะของผู้หญิงคนหนึ่ง ผสมกลมกลืนอยู่ในกลุ่มบริษัทเหอได้อย่างราบรื่น แน่นอนว่าหล่อนไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่หน้าตาและความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้น แต่หัวใจที่โหดเหี้ยมต่างหากคือสาเหตุหลัก
แต่ก่อนหน้านี้ ต้องส่งเรื่องยุ่งยากใหญ่หลวงนี้ออกไปก่อน
เธอหันหน้าไปมองเหอเจ๋อ พูดเสียงเรียบเฉยว่า “เหอเจ๋อในเมื่อเรื่องที่หวงจิงจิงถูกลักพาตัวได้ข้อสรุปแล้ว การที่คุณอยู่ที่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไร ทำไมไม่กลับไปรอฟังข่าวที่บ้านล่ะ? หรือถ้าไม่สบายใจ ก็ไปขออนุญาตตำรวจ ให้ไปร่วมปฏิบัติการจับกุมด้วยกันก็ได้”
ถึงแม้จะไม่ได้พูดคำว่า ‘ไสหัวไป’ ออกมาตรง ๆ แต่น้ำเสียงไล่แขกของเธอก็ชัดเจนมาก
แล้วเหอเจ๋อต้องไปงั้นเหรอ? แน่นอนว่าไม่!
หากบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่การคาดเดา เมื่อสังเกตจากการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเหอซู่โหรวตอนที่เขาโทรศัพท์ ชายหนุ่มก็มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่า พวกที่ลักพาตัวหวงจิงจิงต้องเกี่ยวข้องกับเหอซู่โหรวอย่างแน่นอน
ในเมื่อต้นเหตุอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่กินอิ่มแล้วว่างไม่มีอะไรทำ*[1] จะไปหาที่ไกล ๆ ทำไมกัน?
แต่ตอนนี้ เขาจำเป็นต้องอ้างเหตุผลบางอย่างเพื่ออยู่ต่อ การโกหกแบบนี้ง่ายดายมากหลังจากถูกทำร้ายในวัยเด็กโดยการทุบตีจากแม่มานานถึงสิบแปดปี เขาก็สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว
“พูดแบบนั้นไม่ได้นะครับ ถึงแม้ว่าการจับกุมตัวจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่คนร้ายเจ้าเล่ห์ขนาดนั้น ถ้าพวกมันรู้ตัวว่ามีอะไรผิดปกติ แล้วย้ายที่ไป ตอนนั้นผมก็จะได้ติดต่อพวกมัน แล้วระบุตำแหน่งอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าจะจับได้สำเร็จ”
คำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผลมาก แม้แต่โอวเทียนเหิงยังอดพยักหน้าไม่ได้ พูดว่า “นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว เรื่องการจับกุมเราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยตำรวจก็พอ”
แผนแรกไม่สำเร็จ เหอซู่โหรวขมวดคิ้ว ในใจก็คิดแผนใหม่ได้ทันที ลุกขึ้นยืนเดินปึงปังออกไป
เหอเจ๋อตาวาว เปล่งเสียงถามว่า “คุณเหอจะไปไหน?”
เหอซู่โหรวหยุดฝีเท้า หัวเราะเย็นชาพูดว่า “เหอเจ๋อ คุณรู้ตัวดีหรือเปล่าว่าคุณเป็นใคร! ท่าทางจะวุ่นวายจนเกินไปแล้ว ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ คุณจะตามไปด้วยหรือไง?”
เมื่อวิธีนุ่มนวลไม่ได้ผล เธอจึงฉวยโอกาสนี้ตำหนิเหอเจ๋อ
โดยทั่วไปแล้ว หากใครถูกด่าอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ ต้องโมโหแน่นอน และจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว
แต่เหอเจ๋อไม่ใช่คนธรรมดา ตั้งแต่เด็กที่ถูกแม่ทุบตี เขาเข้าใจดีว่าชีวิตของตัวเองแตกต่างจากคนอื่นเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเหอซู่โหรวจึงผิดหวังอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เหอเจ๋อจะไม่โกรธเคือง กลับพูดด้วยความดีใจว่า “เยี่ยมเลย ผมอั้นมานานแล้ว แต่ไม่รู้จักทาง ไม่กล้าถามไปตรง ๆ พอดีเลยคุณพาผมไปด้วย ไม่ใช่ว่าที่นี่มีแต่ห้องน้ำหญิงใช่ไหม?”
เหมือนกับเรื่องตลกที่น่าเบื่อ ห้องน้ำหญิงมักจะอยู่ถัดจากห้องน้ำชายเสมอ ทั้งสองอย่างนี้ต่างก็เกื้อหนุนกัน แนบชิดกันมากกว่าคนรักที่รักกันที่สุด
เหอซู่โหรวเงียบกริบ หันหลังเปิดประตูเดินออกไป เหอเจ๋อหัวเราะเบา ๆ รีบตามออกไป
ตอนนี้ไม่ใช่แค่เพียงโอวเทียนเหิงที่ฉลาดหลักแหลมเท่านั้น แม้แต่สวี่ลี่ที่เพิ่งจบการศึกษาออกมา ยังมองออกว่าทั้งสองไม่ลงรอยกัน
“นี่พวกเขา…”
“เงียบ!”
โอวเทียนเหิงมองเธอ ประสบการณ์การทำงานหลายปีสอนให้เขารู้ว่า พยายามอย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น มิฉะนั้นจะมีแต่เรื่องวุ่นวายไม่จบสิ้น
บนทางเดินที่สว่างไสว มีเงาสองร่างเดินตามกันไปอย่างเงียบ ๆ
หลังจากที่เหอซู่โหรวออกจากห้องไปแล้ว ลมหนาวเย็นที่พัดเข้ามาทำให้สมองของเธอกลับมาคิดได้อีกครั้ง เธอตระหนักได้ว่าเหอเจ๋อตามเธอมาอย่าง ‘หน้าด้าน’ คงจะสังเกตเห็นบางอย่างแล้ว
[1] กินอิ่มแล้วว่างไม่มีอะไรทำ หมายถึง เวลาเห็นใครทำอะไรที่ไม่เข้าท่า ก็ไม่ควรทำตั้งแต่แรก
MANGA DISCUSSION