บทที่ 37 พูดแล้วไม่คืนคำ
เหอซู่โหรวร้อนรนจนหัวหมุน ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ เธอหันขวับกลับมาทันที สีหน้าของเธอเย็นชาลงทันที ยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “แขกหายากจริง ๆ คุณมาทำอะไรที่นี่?”
เหอเจ๋อยักไหล่ ทำหน้าสิ้นหวังพูดว่า “มีคนโทรมาหาผมเมื่อบ่าย คนคนนั้นลักพาตัวเพื่อนผมไป บอกให้ผมออกจากเมืองกว่างหนานภายในสามวัน ไม่งั้นจะฆ่าตัวประกัน ดังนั้นผมจึงมาเพื่อบอกลา”
สวีลี่ในชุดตำรวจเดินเข้ามาพอดี ได้ยินเขาพูดก็ตกใจ ถามว่า “อะไรนะ? เพื่อนของคุณก็ถูกลักพาตัวไปด้วยเหรอ?”
เหอเจ๋อแสร้งทำเป็นตกใจ ถามอย่างงุนงงว่า “คุณตำรวจสวีลี่ทำไมถึงอยู่ที่นี่? หรือว่ามีคนอื่นถูกลักพาตัวไปด้วย?”
สวีลี่เพิ่งผ่านการฝึกงานมาไม่นาน ได้ยินเหอเจ๋อเรียกเธอว่า ‘ตำรวจ’ ก็รู้สึกเขินอาย พูดอย่างจริงจังว่า “ลูกชายของคุณเหอถูกลักพาตัวไป ครั้งหน้าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ คุณควรแจ้งตำรวจ ไม่ใช่ยอมจำนนต่อคนร้าย”
เหอเจ๋อทำหน้าเหมือนกำลังเรียนรู้ รีบพูดว่า “งั้นผมขอแจ้งความ มีคนลักพาตัวเพื่อนของผม หวงจิงจิง”
เหอซู่โหรวที่อยู่ข้าง ๆ ฉายแววตื่นตระหนกวาบในดวงตา รีบพูดขึ้นว่า “คุณตำรวจสวี ทุกอย่างต้องว่ากันไปตามลำดับมาก่อนหลัง ฉันเป็นคนแจ้งความก่อน ต้องจัดการคดีลูกชายของฉันที่ถูกลักพาตัวไปก่อน”
สวีลี่เป็นมือใหม่ ยังไม่รู้ว่าควรจัดการกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร ทำหน้าลำบากใจ ในตอนนั้นเอง โอวเทียนเหิงก็เดินเข้ามาจากที่ไกล เมื่อถามรายละเอียดจนเข้าใจแล้ว คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันทันที ในพื้นที่รับผิดชอบของเขามีคดีลักพาตัวเกิดขึ้นถึงสองคดีในวันเดียว ถ้าจัดการไม่ดีเขาก็ต้องเดือดร้อนแน่
“คุณผู้หญิง คดีของคุณในตอนนี้ค่อนข้างเสียเปรียบ ต้องรอให้คนร้ายโทรมาถึงจะตามสัญญาณโทรศัพท์ได้ เพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลืองกำลังคน เราลองมาฟังคดีของสุภาพบุรุษคนนี้ก่อนเถอะ”
เหอซู่โหรวได้ยินแล้วไม่พอใจ หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วพูดว่า “งั้นตอนนี้ฉันจะโทรหาคนร้าย พวกคุณจะได้ตามตำแหน่งเขาได้”
โอวเทียนเหิงไม่มีทางเลือก ได้แต่ส่งสายตาขอโทษให้เหอเจ๋อ ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องเริ่มทำงาน
อุปกรณ์ติดตามสัญญาณถูกติดตั้งอย่างรวดเร็ว เหอซู่โหรวโทรไปที่หมายเลขเดิม
ตู๊ด! ตู๊ด! ตู๊ด!
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
เหอซู่โหรวยังไม่ยอมแพ้ โทรไปอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม
เหอเจ๋อหัวเราะสะใจ ก่อนมาเขาได้ถอดซิมโทรศัพท์ออกไปแล้ว ถึงเหอซู่โหรว จะโทรไปอีกร้อยครั้ง ก็ไม่มีใครรับสาย
“ดูเหมือนว่าคนร้ายคนนี้จะระมัดระวังตัวดี คงต้องรอให้เขาติดต่อกลับมาเอง” โอวเทียนเหิงพูดขึ้นหลังจากวางหูฟัง
ด้วยประสบการณ์การสืบสวนอันโชกโชนของเขา คงไม่มีทางคาดคิดว่าคนร้ายจะกล้ามาอยู่ตรงหน้า อย่างไม่เกรงกลัวอะไรแบบนี้
เหอซู่โหรวถึงจะไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่ถอนหายใจแล้ววางโทรศัพท์ลง
เมื่อเธอไม่ขัดขวางแล้ว โอวเทียนเหิงส่งสัญญาณให้สวีลี่ คนหลังถือสมุดเดินเข้ามาและถามอย่างเป็นทางการว่า “กรุณาเล่าเหตุการณ์ที่เพื่อนของคุณถูกลักพาตัวด้วยค่ะ”
เหอเจ๋อไม่ได้ปิดบังอะไร เล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา ความจำของเขาดีมาก ทั้งเวลาและสถานที่เกิดเหตุ เขาก็จำได้แม่นยำ
สองคดีนี้แทบจะเหมือนกันทุกประการ โอวเทียนเหิงจึงไม่มีอะไรจะพูดสั่งให้ทีมดักฟังเชื่อมต่อสัญญาณเข้ากับโทรศัพท์ของเหอเจ๋อโดยตรง
เหอเจ๋อกลอกตาไปมา ทำท่าทางอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อย ถามว่า “คุณตำรวจ ถ้างั้นผมแค่โทรหาคนร้าย พวกคุณก็จะรู้ตำแหน่งของเขาได้ทันทีเลยใช่ไหมครับ?”
เหอซู่โหรวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แม้จะคงทำสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับตั้งใจฟัง พลางกำหมัดแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
โอวเทียนเหิงไม่ได้คิดมาก หลายคนก็สนใจเรื่องแบบนี้ เขาจึงอธิบายอย่างไม่ใส่ใจว่า “แน่นอน ตราบใดที่อีกฝ่ายรับสาย เราก็จะสามารถติดตามสัญญาณ และจับกุมคนร้ายได้ทั้งหมด”
“อ๋อ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง!” เหอเจ๋อแสร้งทำเป็นเข้าใจ เขาปรายตามองเหอซู่โหรวที่ใบหน้ามืดครึ้ม พูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “ทำไมคุณเหอดูไม่ค่อยดีใจเลยล่ะ? แบบนี้ไม่ช่วยในการจับกุมคนร้ายเหรอครับ”
เหอซู่โหรวฝืนยิ้มและแก้ตัวว่า “ฉันแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของลูกชายเท่านั้นเอง”
“งั้นก็ดีแล้ว” เหอเจ๋อหัวเราะเบา ๆ หยิบโทรศัพท์ออกมา กดเบอร์โทรศัพท์ของคนร้ายที่ลักพาตัวหวงจิงจิง
“ฮัลโหล ฉันเหอเจ๋อ ฉันออกจากเมืองกว่างหนานแล้ว พวกแกจะปล่อยเธอเมื่อไหร่” พอสายติด เขาก็รีบพูดขึ้นทันที
โอวเทียนเหิงที่อยู่อีกฝั่งทำมือโอเค เป็นสัญญาณว่าเริ่มติดตามสัญญาณแล้ว
เหอซู่โหรวร้อนใจอย่างมาก แต่ต่อหน้าตำรวจมากมายขนาดนี้ เธอไม่สามารถแสดงออกอย่างชัดเจนได้ ไม่อย่างนั้นถ้าถูกจับได้ ก็เท่ากับเดินเข้าคุกด้วยตัวเอง
โทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงชายทุ้มต่ำดังขึ้น
[รีบร้อนไปทำไม? ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกไม่ได้โกหก? รอให้แน่ใจก่อน ค่อยปล่อยตัว]
โอวเทียนเหิงเคยเตือนเหอเจ๋อไว้ก่อนแล้วว่า ยิ่งคุยโทรศัพท์นานเท่าไหร่ ยิ่งคุยโทรศัพท์นานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยในการระบุตำแหน่งที่แน่ชัดได้มากเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รีบวางสาย แต่พูดต่อว่า “ตั๋วรถไฟก็ซื้อไว้แล้ว จะไม่ไปได้ยังไง พวกคุณอย่าได้ผิดคำพูดก็แล้วกัน”
ชายคนนั้นหัวเราะย่างเย็นชาและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า [เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ฉันไม่ได้มีเรื่องกับแก แค่รับเงินมาแล้วทำงานก็เท่านั้น ถ้าเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นมา การที่ฉันจะฆ่าใครสักคนย่อมไม่ดีสำหรับฉัน?]
“แกทำตามคำสั่งของคนอื่นอยู่ใช่ไหม?” เหอเจ๋อคว้าจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว ถามย้ำอีกครั้งว่า “พี่ชาย พอจะบอกหน่อยได้ไหมว่าใครที่อยู่เบื้อหลังเรื่องนี้?”
[ไม่ได้หรอก สายงานของเราจะมีจริยธรรมในการทำงาน และการรักษาความลับคือสิ่งที่สำคัญที่สุด]
เหอเจ๋อกลอกตาไปมา เขาจงใจพูดเสียงดังขึ้น “ฉันให้เงินก็ไม่ได้เหรอ? ตัดราคาห้าล้าน! ฉันไม่ขาดเงินหรอก แค่อยากรู้ว่าเป็นสัตว์ร้ายตาเน่าคนไหนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
เหอซู่โหรวที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจิกกัดตัวเอง แต่กลับโต้ตอบไม่ได้ ความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่บรรยายได้ยากราวกับได้กลืนอุจจาระร้อน ๆ เข้าไปสามคำในทีเดียว
ห้าล้านที่เหอเจ๋อบอกออกมาลอย ๆ นั้นเห็นได้ชัดว่าทำให้คนร้ายใจอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
แบบนี้ก็เข้าทางของเหอเจ๋อที่ต้องการประวิงเวลาพอดี เขาตบอกสัญญาอย่างหนักแน่นว่า “ฉันเป็นคนพูดจาน่าเชื่อถือที่สุด ถ้าพูดอะไรไปแล้วไม่คืนคำ ขอแค่แกบอกตัวตนของไอ้เวรนั่นมา ฉันจะโอนเงินให้แกทันที!”
เหอซู่โหรวหน้าซีดเผือด ในใจสาปแช่งบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของคนร้ายจนหมด อยากจะหยิบมีดมาสับไอ้โง่นี่ให้เป็นชิ้น ๆ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้เป็นตัวตนของเธอเอง เหอเจ๋ออาจจะหลอกให้สารภาพออกมาก็ได้
เธอฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่ แอบหยิบโทรศัพท์ออกมา กดเบอร์โจรไปครั้งหนึ่ง แต่เธอกลัวตำรวจจับได้ จึงรีบวางสายทันที
MANGA DISCUSSION