บทที่ 34 ชีพจรหยุดเต้น?
หน้าร้านมีชายชราวัยหกสิบยืนอยู่ เขาเป็นคนตัวเตี้ย จมูกแบน แก้มทั้งสองข้างเหี่ยวเฉาไร้เนื้อหนัง ผิดกับดวงตาที่เล็กจิ๋วคล้ายเม็ดถั่วเขียว คล้ายกับผีกระหายในตำนาน หน้าตาเช่นนี้ไม่น่าคบหาสักเท่าไหร่
ทว่า ชายคนนี้กลับหยิ่งผยองมาก เขาส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนก้าวเข้ามาอย่างองอาจ สายตาเชิดขึ้นฟ้า พูดว่า “ผู้เฒ่าหวงอยู่ไหน บอกให้เขาออกมา เด็กน้อยอย่างเจ้าไม่คู่ควรจะคุยกับข้า”
หวงเทียนเหยาอารมณ์ไม่ดี ช่วงปกติมักจะไปทำให้คนอื่นขุ่นเคืองอยู่เสมอ ทว่าส่วนใหญ่ก็คล้ายกับจงหมิง เจ้าของร้านขายยาถงซินก่อนหน้านี้ เพียงแค่ทนนิสัยของเขาไม่ได้เท่านั้น พอเจอหน้ากันก็ทะเลาะกันไปสองสามประโยค ไม่ถึงกับมีเรื่องบาดหมางกัน
ทว่าชายตรงหน้าคนนี้ต่างออกไป ร้านยาเต๋อเฉิงในเมืองกว่างหนาน ถือเป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ซุนไห่ที่นั่งตรวจรักษาฝีมือทางการแพทย์ไม่เลว แต่ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของคนนี้คือโลภมักมาก มักจะจ่ายยาเสริมราคาแพงให้กับลูกค้า แต่กินแล้วไร้ประโยชน์
ปกติเรื่องแบบนี้ทุกคนรู้กันดีอยู่แก่ใจแต่ก็ปล่อยไป แต่หวงเทียนเหยามีนิสัยตรงไปตรงมา ทนเห็นพฤติกรรมของเขาไม่ได้ จึงตำหนิอย่างเปิดเผยหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้ซุนไห่จึงผูกใจเจ็บ คอยหาโอกาสแก้แค้นอยู่ตลอด
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ร้านเทียนเซิ่งจูปิดร้านไปช่วงหนึ่งพักผ่อนมาตลอด เขาหาโอกาสแก้แค้นไม่ได้ วันนี้พอเปิดร้านใหม่ เขาก็รีบมาทันที
หวงเหยียนรู้ว่าคนตรงหน้ามาหาเรื่อง จึงอดทนไม่ตอบโต้ นัยน์ตาคู่คมมองท้องฟ้า สีหน้าไร้อารมณ์ พูดว่า “อาจารย์ของเขาป่วย ไม่สะดวกพบแขก มีอะไรก็บอกมาได้เลย จะซื้อยาหรือตรวจรักษา?”
ซุนไห่กวาดตาคล้ายถั่วเขียวไปมา หัวเราะเยาะ “ตัวเองยังรักษาโรคไม่หาย ฝีมือขนาดนี้ผู้เฒ่าหวงยังมีหน้ามารักษาคนอื่นอีก ไม่ละอายใจเสียจริง”
ถานเหว่ยซ่งโกรธจนแทบจะระเบิด คว้าสากหินบดยาจะไปสู้กับซุนไห่ หวงเหยียนรีบจับไหล่เขาไว้ น้ำเสียงเย็นชา “หลักการที่ว่าหมอรักษาตัวเองไม่ได้ ท่านซุนไห่คงเข้าใจ อาจารย์ของฉันรักษาตัวเองไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ารักษาคนอื่นไม่ได้ ถ้าไม่มีธุระ ก็อย่ามารบกวนเราทำมาค้าขาย มีคำพูดว่าอะไรนะ หมาดีไม่ขวางทาง!*[1]”
ซุนไห่ยิ้มเจ้าเล่ห์ เชิดหน้าพูดว่า “ไม่คิดว่าผู้เฒ่าหวงจะรับศิษย์ที่พูดจาคล่องแคล่วได้ขนาดนี้ ในเมื่อพูดถึงเรื่องหมอรักษาตัวเองไม่ได้ งั้นช่วงนี้ฉันมีอาการป่วยเล็กน้อย ลองมาตรวจให้หน่อยสิ”
หวงเหยียนลังเลใจ ถึงแม้ซุนไห่จะนิสัยไม่ค่อยดี แต่ฝีมือทางการแพทย์กลับยอดเยี่ยมมาก ถ้าเขาวินิจฉัยอาการป่วยไม่ได้ คงจะถูกเยาะเย้ยแน่ หากเรื่องแพร่ออกไปจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของร้านขายยาเทียนเซิ่งจูมาก
ซุนไห่ยกคิ้วขึ้นอย่างไม่ยินดียินร้าย พูดอย่างดูถูกว่า “เมื่อกี้ยังอวดดีว่าจะตรวจรักษาเลย ทำตอนนี้เงียบปากแล้วล่ะ หรือว่ากลัวอย่างนั้นหรือ?”
หวงเหยียนรู้ดีว่านี่เป็นกลยุทธ์ยั่วยุของอีกฝ่าย แต่ถ้าเขาไม่กล้าออกมือ หากข่าวเผยแพร่ออกไป ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงของร้านขายยาเทียนเซิ่งจูอย่างมาก
ยื่นหัวออกไปก็ถูกฟัน หดหัวกลับมาก็ยังถูกฟัน เขาตัดสินใจได้แล้ว กัดฟันพูดว่า “ร้านขายยาเทียนเซิ่งจูทำมาค้าขายอย่างซื่อสัตย์ ไม่เหมือนบางคนที่เรียกเก็บเงินเกินจริง มีอะไรต้องกลัว? จะตรวจก็ตรวจ!”
ซุนไห่หัวเราะเย็นชา แล้ววางแขนบนโต๊ะ
หวงเหยียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ ยกมือขึ้นจับชีพจรของเขา
คนเรามักจะชอบดูเรื่องวุ่นวาย ไม่รู้ว่าใครปากโพล่งออกไปว่ามีคนมาหาเรื่อง ไม่นาน ทั้งในและนอกร้านขายยาเทียนเซิ่งจูก็มีคนมามุงดูเป็นจำนวนมาก
สองนาทีผ่านไป ‘คนไข้’ ซุนไห่ยังคงนั่งอย่างสงบนิ่ง กลับกลายเป็นหวงเหยียนที่จับชีพจรอยู่ใบหน้าตึงเครียด มีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเม็ดโต
“ตรวจเสร็จหรือยัง? จะตรวจกันทั้งชั่วโมงเลยเหรอ?”
ถานเหว่ยซ่งเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเดินเข้ามาใกล้ ๆ และถามเสียงเบา “พี่ เกิดอะไรขึ้น?”
หวงเหยียนหัวเราะอย่างขมขื่น แล้วพูดว่า “ชีพจรขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่คงที่ ช้าบ้างเร็วบ้าง บางช่วงถึงกับหยุดเต้นไปเลย”
“หยุดเต้น?” ถานเหว่ยซ่งตกใจ ถ้าชีพจรของคนปกติเป็นแบบนี้ คงไม่มีทางนั่งอยู่ตรงนี้อย่างใจเย็น ความเป็นไปได้อย่างเดียวคือ อีกฝ่ายจงใจทำแบบนี้
“กระซิบกระซาบอะไรกัน? พวกแกร้านขายยาเทียนเซิ่งจูแค่ตรวจคนไข้ ต้องประชุมปรึกษากันก่อนด้วยหรือไง? จะรักษาโรคได้แน่นะ?”
ซุนไห่มองไปที่ฝูงชนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงตั้งใจพูดเสียงดัง
แน่นอนว่ามีเสียงซุบซิบดังขึ้นในฝูงชน สายตาเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ กระทั่งคนไข้ที่ตั้งใจจะมาต่อคิวก็มีท่าทีลังเล
หวงเหยียนกับถานเหว่ยซ่งร้อนใจ แต่ชีพจรที่ผิดปกติแบบนี้ ทำให้พวกเขาตัดสินใจได้ยาก ถ้าหากพูดผิดไป อีกฝ่ายจะจับผิดไม่ปล่อย ตอนนั้นจะยิ่งเสียหน้า
ชื่อเสียงของร้านขายยาเทียนเซิ่งจูจะต้องพังทลายลงต่อหน้าต่อตาพวกเราสองคนจริง ๆ เหรอ?
หวงเหยียนกับถานเหว่ยซ่งอดสิ้นหวังไม่ได้
“ฮ่า ๆ…”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้นจากฝูงชน ทุกคนชะงักไปครู่หนึ่ง หันไปตามเสียง พบว่าเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ กำลังหัวเราะท้องแข็งราวกับเจอเรื่องขำขันที่สุดในโลก
เมื่อเห็นว่าความแค้นในใจกำลังจะได้รับการชำระแล้ว แต่กลับถูกขัดจังหวะกลางคัน ซุนไห่รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก จึงถามด้วยน้ำเสียงร้ายกาจว่า “แกบ้าไปแล้วเหรอ? มีอะไรน่าขำ?”
เหอเจ๋อหยุดหัวเราะ ท่ามกลางสายตาสงสัยของทุกคน เขาพูดอย่างจริงจังว่า “ผมหัวเราะคุณ คุณแก่แล้ว แต่ไม่รู้จักมารยาท คนอื่นเขาให้โอกาส ไม่อยากเปิดโปงว่าคุณเป็นคนแก่หลอกลวง แต่คุณกลับไม่รู้ตัว”
เขาพูดประโยคแรกก็สวนกลับทันที ไม่ต้องพูดถึงคนดูที่งงไปหมด แม้แต่หวงเหยียนกับถานเหว่ยซ่งก็สับสน ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่
ถึงคราวซุนไห่หัวเราะบ้าง เขาจ้องมองเหอเจ๋อ พูดอย่างดูถูกว่า “เด็กสมัยนี้ชอบพูดเหลวไหลจริง ๆ แม้แต่สถานการณ์ยังไม่เข้าใจ จึงได้พูดจาส่งเดช แกรู้ด้วยหรือว่าพวกเราทำอะไร? จะมาพูดแทรกแซงทำไม?”
ทุกคนฟังแล้วพยักหน้าเงียบ ๆ มองเหอเจ๋อด้วยสายตาตำหนิ ราวกับจะพูดว่า เด็กน้อยอย่างแกมาทำอะไรเก๋าที่นี่?
เหอเจ๋อไม่โกรธ เฟิ่งเฟยเฟยใช้กำปั้นบอกเขานับครั้งไม่ถ้วนว่า ความจริงย่อมเหนือกว่าการโต้แย้งเสมอ ไม่ว่าปากจะดีแค่ไหน ก็สู้ลงมือจริงไม่ได้
เขาเดินไปหาตัวซุนไห่อย่างมั่นใจ โดยไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งรับ แขนข้างหนึ่งโอบไหล่ไว้ทันที จากนั้นมืออีกข้างก็ชี้เป็นดาบ รวดเร็วปานสายฟ้าดึงออกมาทันที
“งั้นช่วยอธิบายหน่อยสิว่านี่คืออะไร?”
ทุกคนพยายามเพ่งตามอง เมื่อมองให้ดี ปรากฏว่าสิ่งที่เขาหนีบอยู่บนปลายนิ้วนั้นคือเข็มเงินเส้นเล็กเท่าขนวัว
ใบหน้าของซุนไห่แดงก่ำ พยายามแก้ตัว “ฉันไม่รู้ แกต่างหากที่เอามาใส่ไว้เพื่อใส่ร้ายฉัน”
ถึงตอนนี้ถ้าหวงเหยียนยังมองไม่ออก วิชาแพทย์ที่สั่งสมมาหลายปีก็คงไร้ประโยชน์
“ดีจริงซุนไห่ ที่แท้ก็แกล้งป่วยทั้งที่ไม่ได้ป่วย ตั้งใจใช้เข็มเงินปิดกั้นเส้นลมปราณก่อน แล้วให้ฉันจับชีพจร ช่างเลวทรามสิ้นดี!”
[1] หมาดีไม่ขวางทาง คือ คอยกีดกันคนอื่นให้ลำบากเหมือนสุนัขที่ขวางเวลาคนเดิน
MANGA DISCUSSION