บทที่ 33 เดี๋ยวฉันจัดการเอง
“คุณไม่ลองคิดดูอีกสักครั้งเหรอ?” เหอเจ๋อลองเกลี้ยกล่อม “จ้างใครสักคนมาช่วยดูแลก็ได้”
หวงจิงจิงส่ายหัว พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “นิสัยของคุณปู่ดื้อรั้นมาก ฉันไม่ไว้ใจคนนอก คุณไม่ต้องเป็นห่วง ฉันคิดไว้หมดแล้ว คุณปู่เป็นญาติคนสำคัญของฉัน ตอนนี้ท่านป่วย ฉันจะต้องดูแลท่านด้วยตัวเอง”
เหอเจ๋อถอนหายใจ ในยุคที่แม้แต่ผู้หญิงทำอาหารเป็นก็หายากแล้ว หญิงสาวที่อ่อนโยน มีคุณธรรม และกตัญญูอย่างหวงจิงจิง ถือว่าหาได้ยากมาก ใครได้เธอไปเป็นภรรยาถือว่าโชคดีมาก
เป็นครั้งแรกที่เขาคิดเรื่องช่วยผู้เฒ่าหวงอย่างจริงจัง เพราะของรางวัลนั้นล่อตาล่อใจเกินไป
การลาออกอย่างเป็นทางการของหวงจิงจิงค่อนข้างยุ่งยาก ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย หลังจากพูดคุยกันอย่างรีบร้อน เธอก็จากไป
เหอเจ๋อครุ่นคิดถึงเรื่องโสมร้อยปี ตัดสินใจไปปรึกษาเรื่องนี้กับหวงเทียนเหยาอีกครั้ง
หลังจากทั้งสองคนจากไป ก็ปรากฏร่างที่ดูเจ้าเล่ห์เดินออกมาจากทางเดิน นั่นก็คือเติ้งเฉิงชาง
เขาลูบคางครุ่นคิดสักพัก หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเหอซู่โหรว พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “แม่ ไอ้เด็กนั่นไม่ใช่คนดีจริง ๆ เพิ่งมาได้ไม่กี่วัน ผมก็เห็นเขาเดินคล้องแขนกับพยาบาลสาวที่ทางเดิน”
เหอซู่โหรวกำลังเดินทางมาโรงพยาบาลได้ยินเช่นนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา พูดว่า “ไม่ใช่เรื่องดีเหรอ? แม่ไม่ได้สอนแกเหรอ ยิ่งเป็นคนเลวยิ่งจัดการง่าย ถ้าเขาเป็นคนบริสุทธิ์ใจ ไม่ยุ่งกับใคร เราก็จะลงมือได้ยาก”
เติ้งเฉิงชางเข้าใจทันที พูดด้วยเสียงหื่นกระหาย “งั้นผมจะ ‘ดูแล’ แฟนสาวของเขาให้ดีเลย”
“พอประมาณก็พอ อย่าให้ถึงตายก็แล้วกัน” เหอซู่โหรวพูดทิ้งท้ายไว้ แล้ววางสาย
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะมอบชีวิตให้เธออีกครั้ง!” เติ้งเฉิงชางกำโทรศัพท์ พูดอย่างลำพองใจ “ไอ้เด็กน้อย เดี๋ยวฉันจะให้แกสวมหมวกเขียว*[1]แน่!”
เมืองใหญ่ย่อมมีชีวิตชีวาของเมืองใหญ่ ส่วนหมู่บ้านเล็กก็มีความสงบของหมู่บ้านเล็ก ทั้งสองอย่างเปรียบเสมือนดอกกล้วยไม้ช่วงวสันตฤดูและเบญจมาศช่วงสารทฤดู ต่างงดงามและชวนหลงใหล เทียบไม่ได้ว่าสิ่งใดเหนือกว่า บอกได้เพียงแค่ว่าอยู่คนละทิศกันเท่านั้น
ช่วงเที่ยงในเมืองกว่างหนานคึกคักพิเศษ ถนนและซอกซอยเต็มไปด้วยผู้คนและรถรา เสียงเด็กนักเรียนหัวเราะคิกคักขณะเดินกลับบ้าน ปะปนกับพนักงานออฟฟิศที่ออกมาทานอาหารกลางวันหลังเหน็ดเหนื่อยในช่วงเช้า บางครั้งก็ถึงขนาดทำให้รถติดเป็นหย่อม ๆ ทำให้เห็นถึงความคึกคักของเมือง
ขณะเดียวกัน บรรยากาศช่วงเที่ยงในเมืองหลินอัน กลับเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุดในหนึ่งวัน ผู้คนต่างยุ่งอยู่กับการปรุงอาหารกลางวันภายในบ้าน แม้แต่สุนัขเฝ้าบ้านที่มักชอบความคึกคักก็ดูอิดโรย นอนนิ่งอยู่หน้าประตู รอเศษอาหารจากมื้อกลางวันของเจ้าของ
ท่ามกลางความเงียบสงบ ชายสามคนที่ปรากฏตัวบนถนนสายเดียวของเมือง จึงสะดุดตาเป็นพิเศษ
พวกเขาแต่งกายเรียบง่าย ไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป ทว่าเสียงลมที่พัดพาดพร้อมกับการเดินของพวกเขา และแววตาที่เฉียบคมเวลามองดูผู้คน บ่งบอกให้รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา
“ถามไถ่ได้ความอะไรไหม? ในเมืองมีคนแซ่เหออยู่แค่สามบ้าน แต่คนที่อายุตรงก็มีแค่บ้านแรกทางต้นหมู่บ้าน เป็นแม่ม่าย ลูกชายแซ่เหอ!”
ทั้งสามคนรวมหัวกระซิบกระซาบและปรึกษากัน ในที่สุดก็ตัดสินใจให้สองคนเฝ้าอยู่ข้างล่าง และส่งคนที่ดูไม่มีพิษมีภัยที่สุดขึ้นไปเคาะประตู
“สวัสดีครับ ขอถามหน่อยครับ ที่นี่มีหมออยู่หรือเปล่า”
เฟิ่งเฟยเฟยเปิดประตูออกมา พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันรักษาได้แค่โรคทางกาย ไม่รักษาโรคทางใจ”
คนที่เคาะประตูชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามกลับด้วยรอยยิ้ม “ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าเป็นโรคอะไร คุณรู้ได้ยังไง?”
“ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แบบนี้ ถ้าไม่ใช่โรคทางใจแล้วเป็นอะไร?” เฟิ่งเฟยเฟย หยิบไม้นวดแป้งที่เป็นฝันร้ายในวัยเด็กของเหอเจ๋อออกมาจากหลังประตู แล้วฟาดใส่อย่างไม่ปรานี
ชายที่มีใบหน้าใสซื่อแต่จิตใจเจ้าเล่ห์ไม่ทันได้ตั้งตัว ถูกตีเข้าที่หน้าผากสองที จนเกิดรอยแดงพร้อมกับอาการวิงเวียน รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งลงบันไดทันที
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ คนที่รออยู่ข้างล่างก็ตกใจเช่นกัน ทั้งสามคนไม่รู้จักตัวตนของเฟิ่งเฟยเฟย ไม่กล้าต่อสู้โดยพลการ ได้แต่ถอยกลับอย่างอับอาย
โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ลงมือ ไม่อย่างนั้นทีมบอดีการ์ดที่ถือชามแตกเดินขอทานกลับบ้าน อาจต้องเพิ่มสมาชิกอีกสามคน
“คุณลุง เรื่องก็เป็นแบบนี้ค่ะ ผู้หญิงคนนั้นไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนเลย เราเลยยังไม่สามารถหาตัวตนของเธอได้ในตอนนี้” จางเหวินฉีขมวดคิ้ว รายงานข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนทั้งหมดให้เหอหย่งฝูฟังอย่างละเอียด
เหอหย่งฝูนั่งพิงเก้าอี้ เคาะนิ้วตรงที่วางแขนของเก้าอี้เบา ๆ สายตามองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย พึมพำเบา ๆ ว่า “เฟยเฟย นั่นเธอใช่ไหม?”
ร้านขายยา ‘เทียนเซิ่งจู’ ที่ปิดประตูหน้าร้านไปนานก็กลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว ถึงแม้ว่าหวงเทียนเหยาจะร่างกายอ่อนแอจนไม่สามารถนั่งตรวจคนไข้ได้ แต่หวงเหยียนกับถานเหว่ยซ่ง ศิษย์ทั้งสองคนของเขาก็เรียนรู้วิชาไปแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน สามารถรับมือกับโรคทั่วไปได้โดยไม่มีปัญหาใหญ่
ทั้งสองคนรู้สึกผิดมากที่ขโมยโสมร้อยปี จนไม่มีเงินซื้อโสมร้อยปีที่ช่วยชีวิตได้ รู้สึกผิดในใจอย่างมาก จึงอยากใช้โอกาสนี้ระดมทุนให้ได้มากที่สุด
ร้านขายยา ‘เทียนเซิ่งจู’ มีชื่อเสียงดีมากในละแวกนั้น ถึงแม้หวงเทียนเหยาจะเป็นคนดื้อรั้นไปหน่อย แต่ไม่เคยหลอกลวงให้ใครซื้อยา คนส่วนใหญ่ได้ยินเรื่องที่เขาป่วย จึงมาซื้อยาที่ใช้กันทั่วไปไว้เผื่อไว้ แม้จะไม่รู้ว่าจะได้ใช้หรือไม่ก็ตาม เหมือนเป็นการระดมทุนช่วยเหลือเขา
แค่ช่วงเช้าก็ขายได้ถึงหนึ่งหมื่นหยวนแล้ว ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้หนึ่งสัปดาห์ในวันปกติ
หวงเหยียนและถานเหว่ยซ่งรู้ดีว่านี่คือความปรารถนาดีของทุกคน จึงยิ้มต้อนรับลูกค้าทุกคนอย่างเต็มที่และกล่าวขอบคุณอย่างไม่ขาดปาก
โลกนี้มีคนมอบถ่านกลางหิมะไม่น้อย*[2] แต่คนที่โยนหินใส่คนตกบ่อ*[3]ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย
ลังจากส่งลูกค้าอีกรอบ สองคนก็คุยกันมาทั้งเช้าจนคอแทบจะระอุ พวกเขาก็เข้าไปในร้านเพื่อดื่มน้ำเย็น ๆ ล้างคอ แต่พอจะยกน้ำขึ้นมาดื่ม ก็ได้ยินน้ำเสียงอวดดีดังมาจากประตู
“คนอยู่ไหน? ตายกันหมดแล้วเหรอ? ไม่มีคนเปิดร้านค้าขายอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็ปิดร้านไปเลยดีกว่า!”
ถานเหว่ยซ่งอารมณ์ร้อน ได้ยินคำพูดนี้ก็โมโหขึ้นมาทันที วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ กำลังจะออกไปเถียงกับพวกเขา
หวงเหยียนคิดรอบคอบ ยื่นมือไปจับเขาไว้ กดเสียงลงแล้วพูดว่า “อย่าใจร้อน ตอนนี้อาจารย์ป่วยหนัก ร้านขายยาเทียนเซิ่งจูกำลังอยู่ในช่วงลำบาก นี่มันชัดเจนว่าจงใจมาหาเรื่อง ยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งต้องระมัดระวังในการรับมือ”
ถานเหว่ยซ่งฟังคำแนะนำของเขาจึงเข้าใจทันที รู้สึกกังวลและถามว่า “งั้นพวกเราจะทำยังไงดี?”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
หวงเหยียนตบไหล่เขา บายใจเข้าลึก ๆ เปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้ม เดินออกมาจากห้องด้านใน พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ที่แท้ก็คุณซุน เจ้าของร้านยาเต๋อเฉิงนี่เอง ลมอะไรพัดคุณมาที่นี่?”
[1] สวมหมวกเขียว คือ การที่ฝ่ายหญิงมีชู้กับชายอื่น
[2] มอบถ่านกลางหิมะไม่น้อย คือ การให้ความช่วยเหลือในยามที่อีกฝ่ายเดือดร้อน
[3] โยนหินใส่คนตกบ่อ คือ การฉวยโอกาสหรือการซ้ำเติมผู้อื่นในยามที่ตกยาก
MANGA DISCUSSION