บทที่ 32 พิษแมลงปอเหมันต์
พวกบอดีการ์ดที่ทำภารกิจล้มเหลวจะใช้ความสามารถของตัวเองกลับมาด้วยสองขาได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เหอเจ๋อต้องกังวล
เขาโทรถามถานเหว่ยซ่งเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ของผู้รับผิดชอบการประมูลครั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลราคาที่แน่นอนของโสมร้อยปี
หลังจากที่ติดต่อไปแล้ว ผู้จัดงานที่อ้างชื่อว่า ‘จางจื่อหัว’ ก็บอกเหอเจ๋ออย่างสุภาพว่า เนื่องจากการประมูลครั้งนี้เป็นการกุศล ราคาเริ่มต้นจึงไม่สูงมาก โดยกำหนดให้โสมร้อยปีเริ่มต้นที่ราคาสามล้านหยวน
แต่จากประสบการณ์ในการจัดงานประมูลของจางจื่อหัว หากต้องการชนะอย่างไม่มีข้อสงสัย จำเป็นต้องเตรียมเงินทุนที่มากถึงสามเท่าของราคาเริ่มต้น นั่นก็คือจำนวนเงินสิบล้าน
แม้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของที่คาดไว้ แต่หลังจากที่เหอเจ๋อได้ฟังจบแล้ว เขาก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่ เพราะว่าทั้งห้าแสนล้านและสิบล้านย่อมไม่ต่างกันมากสำหรับผู้ชายคนนี้ เพราะเขาไม่มีเงิน…
เงินก็คือของนอกกาย เพียงหนึ่งหยวนก็สามารถทำให้วีรบุรุษลำบากได้!
ยังไงการประมูลก็จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าอยู่แล้ว เหอเจ๋อจึงโยนปัญหาที่น่ารำคาญใจออกไป แล้วก็หาอาหารกินไปตามร้านข้างทาง แล้วกลับไปที่ห้องพักชั้นเก้า เพื่อศึกษาวิชาเข็มเก้าวิถี
อย่างไรก็ตาม ในการรักษาหวงเทียนเหยานอกจากจะต้องพึ่งโสมอายุร้อยปีแล้ว เขายังต้องพัฒนาเข็มเก้าวิถีให้พัฒนาไปอีกขั้นด้วยเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เหอเจ๋อทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็รีบไปที่โรงพยาบาล แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องของเหอหย่งฝู
“สวัสดีตอนเช้า สมัยนี้หาคนหนุ่มที่ชอบตื่นเช้ายากแล้วนะ” เหอหย่งฝูดูมีสภาพจิตใจที่ดี จึงเริ่มทักทายก่อน
“นอนหัวค่ำตื่นเช้า ร่างกายแข็งแรง แม่สอนผมมาตั้งแต่เด็ก” เหอเจ๋อตอบอย่างเลื่อนลอย
“แม่ของคุณ?” แววตาของเหอหย่งฝูมีประกายวาบขึ้น พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถ้าพูดประโยคแบบนี้ได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”
เหอเจ๋อ “…”
หากไม่ได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามคน เขาคงสงสัยแล้วว่าอาการของเหอหย่งฝูลุกลามไปถึงสมองแล้วหรือเปล่า
เนื่องจากสังเกตเห็นแววตาแปลกประหลาดของเหอเจ๋อ เหอหย่งฝูจึงแกล้งไอขึ้นมา ก่อนจะซ่อนสีหน้าที่อึดอัดเอาไว้ แล้วพูดว่า “คุณกินอาหารเช้าหรือยัง ถ้ายังไม่ได้กิน มากินด้วยกันไหม?”
ที่ชั้นล่างในช่วงเช้า เหอเจ๋อกินซาลาเปาไส้เนื้อไปสามลูก ตอนนี้ก็ยังรู้สึกแน่นท้อง แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อนึกขึ้นมาว่าตั้งแต่ที่เขาเกิดมาจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่ได้กินข้าวด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันเลย คล้ายกับมีอะไรดลใจ เหอเจ๋อจึงตอบตกลง
หลังจากที่เหอเจ๋อเตือนไปก่อนหน้านี้ เหอหย่งฝูก็ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน โดยการพาพ่อครัวที่เชื่อใจได้ที่สุดมาจากบ้าน
จากอาหารสามมื้อต่อวัน อาหารที่สำคัญที่สุดมักจะเป็นอาหารเช้าที่คนปกติมักจะละเลย หลังจากที่ลำไส้และกระเพาะอาหารย่อยอาหารตลอดทั้งคืน กรดในกระเพาะอาหารก็จะหลั่งออกมามาก ซึ่งในตอนนี้ก็จำเป็นต้องเติมเต็มอาหารอย่างเร่งด่วน
แต่โดยทั่วไปแล้ว คนปกติมักจะชอบนอนตื่นสาย และเลือกกินเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังชีวิต หรือแม้กระทั่งไม่กินเลยก็มี ซึ่งวิธีนี้จะอันตรายต่อลำไส้และกระเพาะอาหารมาก เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าอาจก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น กระเพาะทะลุได้
แน่นอนว่าคนอย่างเหอหย่งฝูจะไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้ เมื่อเขาสั่ง อาหารมากมายก็ถูกนำมาจัดเรียงกันเต็มทั้งโต๊ะ เมื่อเห็นแบบนั้นเหอเจ๋อก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที
บนโต๊ะอาหาร เหอหย่งฝูมักหยิบยกหัวข้อเรื่องครอบครัวขึ้นมาไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่เหอเจ๋อที่ยังไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับ ‘พ่อ’ คนนี้ยังไง ก็เลือกที่จะหลบเลี่ยงประเด็นสำคัญ แล้วตอบสั้น ๆ ไปอย่างขอไปที
หัวข้อบางอย่างเป็นเขตแดนที่ไม่ควรย่างกรายสำหรับทั้งสองฝ่าย และทั้งคู่ฉลาดพอที่จะไม่แตะต้องมันง่าย ๆ
ถึงแม้เหอหย่งฝูจะไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด แต่การคาดเดาบางอย่างของเขาก็มั่นใจมากขึ้น
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เหอเจ๋อได้ตรวจชีพจรของเหอหย่งฝูตามปกติ แล้วก็พบกับเรื่องที่น่ายินดี คือหลังจากที่ได้บำรุงรักษาไปแล้วหลายวัน ในที่สุด ‘พิษแมลงปอเหมันต์’ ก็ถูกกดลงไปแล้ว และอาการข้างเคียงของเจี้ยนหมี่ซ่านหลังจากเลิกกิน ‘ซุปบำรุง’ ก็หยุดทรุดลงเช่นกัน สภาพดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
“เป็นยังไงบ้าง?” เหอหย่งฝูมองเขาพร้อมสีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง ถามอย่างระมัดระวัง
แม้แต่สัตว์อย่างมดก็ยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนหรือเศรษฐี ไม่มีใครที่ปรารถนาว่าตัวเองต้องตายก่อนวัยอันควร และเมื่อเผชิญหน้ากับสุขภาพร่างกายต่างก็เครียดเหมือนกันทั้งนั้น
เหอเจ๋อไม่ปิดบัง เขาแจ้งอาการของเขาคร่าว ๆ แล้วสรุปว่า “จากที่ดูตอนนี้ อาการป่วยของคุณเริ่มคงที่แล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือต้นตอของโรคเรื้อรัง ต้องค่อย ๆ กำจัดออกไป…”
เหอหย่งฝูไม่รอให้เขาพูดจบ ก็รีบพูดแทรกด้วยความตื่นเต้นว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้วใช่ไหม?”
เหอเจ๋อยักไหล่ พูดว่า “แน่นอน แต่ถ้าคุณคิดว่าพยาบาลที่นี่น่ารักพอ คุณจะอยู่ต่อก็ได้นะ”
“ไม่มีมารยาทเลย” เหอหย่งฝูจ้องเหอเจ๋ออย่างไม่พอใจ แต่เพราะอารมณ์ดี เลยขี้เกียจโต้เถียงกับเด็กคนนี้ เขาโทรศัพท์เพื่อจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาล และโบกมือไล่เหอเจ๋อออกไป
เหอเจ๋อเดินออกจากห้องด้วยรอยยิ้ม เขาคิดอยู่นานก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาแม่
[ว่าไง มีอะไรถึงได้โทรมาหาฉันอีก?]
น้ำเสียงที่หงุดหงิดในโทรศัพท์ทำให้เหอเจ๋อรู้สึกเจ็บปวด เขาสงสัยมากว่าตัวเองเป็นลูกแท้ ๆ หรือเปล่า แม้ว่าเขาจะเคยถามคำถามนี้กับแม่มาหลายครั้งแล้วก็ตาม ตลอดช่วงสิบแปดปีที่โดนตีมา
“ผมรักษาอาการป่วยของเหอหย่งฝูเกือบหายแล้ว ตอนนี้เขาออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
เฟิ่งเฟยเฟยที่อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก เธอเตะหินก้อนใหญ่ริมถนนจนแตกละเอียด และพูดว่า [ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องไร้สาระแบบนี้กับฉัน รอเขาตายแล้วค่อยโทรมา]
เหอเจ๋อได้ยินเสียงวางสาย เขาเก็บโทรศัพท์ลงอย่างหมดหนทาง จริง ๆ แล้วในใจเขาสงสัยมากว่า ด้วยนิสัยของแม่ สมัยก่อนจะไปคบหากับเหอหย่งฝูได้อย่างไร?
“เอ๊ะ หวงจิงจิง?” จู่ ๆ เขาก็เห็นเงาร่างคนรีบร้อนผ่านหางตาไป แล้วก็พูดขึ้นด้วยความสงสัย
หวงจิงจิงหยุดฝีเท้า มองดูอย่างตั้งใจ ใบหน้าของเธอเผยสีหน้าซับซ้อน
เธอรู้สึกซาบซึ้งใจมากที่เหอเจ๋อช่วยรักษาคุณปู่ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่น่าอายเมื่อวานนี้ หญิงสาวก็รู้สึกโกรธเคืองอีกครั้ง คำพูดแบบนั้น… ทำไมถึงพูดต่อหน้าคนอื่นได้?
เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร เหอเจ๋อก็คิดว่าเธอยังโกรธเขาอยู่ เขาเกาหัวแก้เก้อ และอธิบายว่า “เมื่อวานผมพูดไปโดยไม่ทันคิด อย่าเก็บมาคิดเลยนะครับ”
หวงจิงจิงส่ายหัวไปมา พยายามตั้งสติ และพูดอย่างจริงจังว่า “ที่ฉันพูดไปเมื่อวานเป็นความจริงทั้งหมด ตราบใดที่คุณช่วยชีวิตคุณปู่ของฉันได้ ฉันจะยอมทำตามทุกเงื่อนไข”
เหอเจ๋อรู้สึกว่ายิ่งพูดยิ่งแย่ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างหมดหนทาง ถามด้วยความสงสัยว่า “คุณรีบร้อนขนาดนี้ไปทำอะไรเหรอ?”
สีหน้าของหวงจิงจิงหม่นลง ชูใบลาออกในมือขึ้นมา บอกว่า “วันลาพักร้อนของฉันหมดแล้ว แต่ตอนนี้สภาพของคุณปู่ไม่สามารถห่างจากคนดูแลได้ ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจลาออกจากงานก่อน”
เหอเจ๋อได้ยินแล้วรู้สึกเสียดายมาก หวงจิงจิงเป็นพยาบาลที่มีตำแหน่งประจำ ถ้าพัฒนาไปเรื่อย ๆ จะมีอนาคตที่สดใสรออยู่ อย่างน้อยที่สุดทั้งชีวิตก็ไม่ต้องกังวลเรื่องงาน นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันถึง
MANGA DISCUSSION