บทที่ 31 ตอนนี้หางจิ้งจอกโผล่แล้ว
บางครั้งคำพูดของเหอเจ๋อก็สุดยอดเกินไป จนทำให้ความคิดของหวงเทียนเหยาเปิดกว้างขึ้นในทันที เขายอมตกลงให้หวงเหยียนและถานเหว่ยซ่งกลับมาทำงานที่เทียนเซิ่งจูอีกครั้ง
ถึงแม้กระบวนการจะติดขัดไปบ้าง แต่ตราบใดที่ตอนจบงดงามก็ไม่มีปัญหา
เหอเจ๋อปรับอารมณ์เล็กน้อย แล้วพูดถึงเรื่องการประมูลยาสมุนไพร
เมื่อพูดถึงตระกูลใหญ่อย่างตระกูลจาง ผู้เป็นราชวงศ์ยาพันปี แม้แต่คนปากแข็งอย่างหวงเทียนเหยาก็อดชื่นชมไม่ได้ “สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลใหญ่ แม้จะร่ำรวยก็ยังไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง ยอดเยี่ยมมาก!”
แต่ต่อมาก็มีอีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญปรากฏขึ้นมา สมุนไพรแต่ละชนิด หากข้างหน้ามีตัวอักษร ‘ร้อยปี’ แค่สองคำ มูลค่าก็จะพุ่งทะยานราวจรวดทันที
หวงเหยียนและถานเหว่ยซ่งขายโสมร้อยปีในราคาสามล้าน ก็นับว่าขาดทุนย่อยยับแล้ว รู้ไว้เถอะว่าของสิ่งนี้เคยถูกประมูลในราคาหลายสิบล้านมาแล้ว
แม้ว่าราคาโสมร้อยปีจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การรักษาระดับไว้ที่ประมาณห้าล้านหยวนนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่
แต่แล้วคำถามนี้ก็เกิดขึ้น การจะเรียนขับรถขุดดินที่ไหน… ไม่สิ เงินห้าล้านนี้จะหามาจากไหน?
หวงเทียนเหยามีวิชาการแพทย์ชั้นสูง ธุรกิจร้านขายยาเทียนเซิ่งจูก็เติบโตดีมาตลอด รายได้ก็ดี ทว่ารายได้ก็ไม่น้อย มีรายจ่ายมากเช่นเดียวกัน
นอกจากซื้อยาสมุนไพรแล้ว เขายังต้องเลี้ยงลูกศิษย์สองคนและลูกน้องอีกหลายคน ทุกปีหลังจากหักค่าใช้จ่ายก็เหลือแค่ไม่กี่หมื่น เพียงพอสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อเทียบกับตัวเลขห้าล้านหยวนแล้ว มันก็เหมือนกับน้ำหยดเดียวในทะเล*[1]
หวงเหยียนและถานเหว่ยซ่งเสียใจเป็นอย่างมาก หากว่าพวกเขาไม่ขโมยโสมร้อยปีไปขาย การเอาเงินมาแลกโสมร้อยปีในตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
ดังที่เขาเคยพูด ‘แม้แต่ฮีโร่ก็ยังลำบากใจกับเงินเพียงหนึ่งหยวน’ หวงเทียนเหยาส่ายหัวแล้วถอนหายใจด้วยความขมขื่นว่า “นี่คงเป็นโชคชะตาของฉันเอง โทษใครไม่ได้”
หวงจิงจิงไม่สนใจความอับอาย รีบวิ่งออกมาจากห้อง ร้องไห้เหมือนเด็กน้อย พลางคร่ำครวญว่า “คุณปู่ ฉันไม่อยากให้ปู่ตาย ปู่ต้องมีสุขภาพแข็งแรงนะ!”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาหวงเทียนเหยาผู้แข็งแกร่งไม่เคยยอมก้มหัวให้ใคร ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าดวงตาของตัวเองชื้นแฉะ พลางตบไหล่หลานสาว แล้วปลอบว่า “อย่าร้องไห้ไปเลยเด็กโง่ ทุกคนก็ต้องมีวันนี้กันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น”
หวงจิงจิงเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่เหอเจ๋อกัดริมฝีปากตัวเองแน่นแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ขอแค่คุณช่วยชีวิตคุณปู่ของฉันได้ ฉันจะเป็นของคุณ คุณจะทำอะไรก็ได้ ถึงแม้จะเป็นวันละแสน…”
ประโยคที่เหลือเธอไม่กล้าพูดออกมาเพราะเป็นคนขี้อาย แต่ความหมายก็ชัดเจนมากแล้ว
เหอเจ๋อตกใจแล้วบ่นออกมาเบา ๆ ว่า “แต่แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับผมเลย ผมไม่ใช่หมูพ่อพันธุ์นะ ผมก็มีสิทธิ์เลือกเหมือนกัน…”
เพราะสายตาของคนที่อยู่ในห้องทั้งสี่คนที่จ้องเขามาแทบจะฆ่าคนได้ ทำให้เขารูดซิปปากไว้ ยักไหล่พลางพูดว่า “แต่ถึงผมจะเอาเงินทั้งหมดออกมา ก็ได้แค่เศษเงินเท่านั้น ยังห่างไกลจากห้าล้านอีกตั้งเยอะ”
หวงจิงจิงพยายามข่มความรู้สึกที่ซับซ้อนในใจเพื่อคนที่เธอรักแล้ว เธอพร้อมที่จะแลกทุกอย่าง เธอพยายามรวบรวมความกล้าขึ้นมาพูดว่า “คุณรู้จักกับเหอหย่งฝูไม่ใช่เหรอ? คุณไปยืมเงินเขาก่อนสิ คุณวางใจได้ ฉันจะคืนเงินให้เอง!”
ห้าล้านสำหรับพวกเขาแทบจะเป็นตัวเลขมหาศาล แต่สำหรับเหอหย่งฝูที่มีทรัพย์สินหลายพันล้านแล้ว ก็ถือว่าเป็นเงินเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากไปขอยืมเงินจากคนนี้ เหอเจ๋อกลับลังเลขึ้นมา
หวงจิงจิงคิดว่าเขาคงจะไม่เต็มใจ กำลังจะอ้าปากขอร้องอีกครั้ง แต่ถูกหวงเทียนเหยาพูดแทรกขึ้น
เขาชี้ไปที่เธอและตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “จิงจิง! ทั้งชีวิตหวงเทียนเหยาคนนี้ไม่เคยก้มหัวให้ใคร ไม่เคยเอาความสุขของหลานสาวมาแลกกับชีวิตของตัวเอง ถ้าเธอทำแบบนั้น ฉันจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายเดี๋ยวนี้เลย!”
หวงจิงจิงโผเข้ากอดคุณปู่น้ำตานองหน้า ทั้งสองกอดกันร้องไห้ไม่พูดจา
เหอเจ๋อก็ไม่ใช่คนใจร้านเช่นกัน เมื่อเห็นฉากที่น่าหดหู่แบบนี้แล้วก็ถอนหายใจ ก็พูดว่า “ถือว่าชาติที่แล้วผมเป็นหนี้พวกคุณ พวกคุณไม่ต้องกังวล เรื่องโสมร้อยปีผมจะหาทางจัดการเอง”
หวงเทียนเหยาบุ้ยปาก พูดว่า “รู้อยู่แล้วว่าไอ้หนูนี่ใจคอชั่วช้า ตลอดเวลาจ้องจะจับตัวจิงจิงของเราไปตั้งแต่แรก ตอนนี้หางจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้วสินะ”
“ผายลม ผมช่วยคนแก่ด้วยความเมตตาคุณมองผมแบบนี้ได้ยังไง!”
“จิงจิงรีบอัดเสียงเจ้าคนเลวนี่ไว้เร้ว ถ้าตอนหลังมันใช้เรื่องนี้มาขู่ จะได้มีหลักฐาน”
เหอเจ๋อ “…”
เขาอยากวิ่งเข้าไปเตะคนแก่คนนี้ล้มลงกับพื้นจริง ๆ ดูซิว่าในหัวของคนแก่นี่มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง
ขณะเดียวกัน ที่เมืองหลินอันก็มีคนถูกเตะล้มลงบนพื้นจริง ๆ และไม่ใช่แค่คนเดียว ในห้องมีคนนอนระเกะระกะอย่างน้อยสิบกว่าคน ทุกคนมีสีหน้าสิ้นหวังในชีวิต กุมบริเวณเป้าเอาไว้อย่างสิ้นหวัง ราวกับว่าไม่นานมานี้พวกเขาได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายอย่างคาดไม่ถึง
เฟิ่งเฟยเฟยเท้าคาง แสยะยิ้มพลางพูดว่า “พยัคฆ์ไม่แผดเสียง คิดว่าฉันเป็นคนป่วยงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าที่เมืองกว่างหนานจะถูกจับตามองแล้ว ควรบอกเขาดีไหม?”
เธอใช้เวลาคิดเพียงครึ่งวินาทีก็ตัดสินใจได้ หล่อนสะบัดผม หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างเด็ดขาดแล้วโทรออก
“แกมีความสำเร็จบ้างไม่ได้เหรอ? มีคนมาหาเรื่องถึงที่แล้ว รีบไล่แมลงวันพวกนี้ไปซะ อย่าให้มารบกวนฉันอีก”
เหอเจ๋อยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ ปลายสายก็วางสายไปแล้ว เขาขมวดคิ้ว มาเมืองกว่างหนานได้ไม่นาน คนเดียวที่เขาเคยทำให้ไม่พอใจคือเติ้งเฉิงชางเท่านั้น เป้าหมายชัดเจนมาก
แม้ว่าจะถูกซ้อมมาเป็นเวลาถึงสิบแปดปี เขาเชื่อมั่นว่าแม่ของเขาคงจะไม่ต้องให้เขาเป็นห่วงเลย แต่การที่ผู้ชายคนนี้ใช้วิธีการโดยไม่เลือกเพื่อจัดการคนในครอบครัวเขา มันช่างต่ำช้าจริง ๆ
“ดูเหมือนจะต้องเร่งกำจัดแมลงร้ายสองตัวนี้แล้ว!”
เหอเจ๋อนั่งบนโซฟา จ้องมองเพดานอย่างเอาเป็นเอาตาย และจมอยู่ในความคิด
เติ้งเฉิงชางไม่รู้ว่าตัวเองแพ้พ่ายไปจนหมดสิ้นแล้วจนกระทั่งถึงกลางคืน นั่นก็เพราะว่าหลังจากที่ทรัพย์สินติดตัวทั้งหมดของเขาถูกยึดไปจนหมดแล้ว เงินที่ใช้โทรศัพท์ก็ยังต้องไปขโมยมาจากชามข้าวของขอทานที่กำลังหลับ
เห็นทีโอกาสอันดีที่จะล้างแค้นยิ่งห่างไกลออกไป เขาก็เลยโกรธจัดขึ้นมา ด่าทอเสียงดังว่า “พวกไร้ประโยชน์ แค่ผู้หญิงคนเดียวยังจัดการไม่ได้ กล้าดียังไงที่มาขอเงินค่าเดินทาง ใช้ขาเดินกลับมาเองสิ จะได้ไม่ต้องมาทำให้ฉันหงุดหงิด!”
อีกฝั่งของโทรศัพท์ พวกบอดีการ์ดได้ยินเสียงสัญญาณที่วุ่นวายต่างก็อึ้งไปหมด จากเมืองหลินอันถึงเมืองกว่างหนานมีระยะทางไกลถึงพันลี้ ถ้าจะเดินกลับโดยไม่ให้ตายเพราะเหนื่อย…
ขอทานที่เพิ่งตื่นนอนรู้สึกว่าสายตาอันหิวโหยหลายคู่จ้องเขม็งมาที่ตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตัวสั่น กลัวจนรีบกอดชามข้าวที่แตกของตัวเองเอาไว้แน่น พลางพูดด้วยเสียงหวาดกลัวว่า “พวกแกจะทำอะไร? จะมาปล้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ พวกเราแค่ตั้งใจจะมาเรียนวิชาขอทานจากนาย” เหล่าบอดีการ์ดพูดขึ้นพร้อมกัน
[1] น้ำหยดเดียวในทะเล หมายถึง มีพละกำลังน้อยกว่า มักจะพ่ายแพ้สิ่งที่มีกำลังมากกว่า
MANGA DISCUSSION