บทที่ 142 รีดไถ
พี่สาวน้องสาวคู่นี้ต่างผลัดกันร้อง ผลัดกันพูด สาดน้ำสกปรกใส่พวกเขาเป็นถัง ๆ และตีตราพวกเขาว่าเป็นขโมยด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
การชอบดูเรื่องอื้อฉาวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ที่เสียงผายลมจากหัวหมู่บ้านสามารถได้ยินไปถึงท้ายหมู่บ้านได้ ในเวลาไม่นานก็มีชาวบ้านที่ว่างงานจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อดูความตื่นเต้น พวกเขากระซิบกระซาบและพูดคุยกันอย่างแผ่วเบา
หวงจิงจิงไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ถูกใส่ร้ายป้ายสีและพูดโกหกอย่างหน้าด้าน ๆ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอแดงก่ำ พูดตะกักตะกะว่า “ตอนนั้นอาจารย์ให้เงินพวกคุณไปแล้ว พวกคุณจะผิดคำพูดไม่ได้นะ”
จ้าวหัวจูกรอกตาอย่างดูถูกเหยียดหยาม พูดอย่างไม่แยแสว่า “ให้เงินงั้นเหรอ? นั่นมันค่าเช่า! ในเมื่อสัญญาสิ้นสุดแล้ว ของในบ้านก็ต้องเป็นของพวกเราสิ”
“คุณนี่มันพูดเอาแต่ได้” หวงจิงจิงน้ำตาคลอ พูดอย่างคับแค้นใจ “อาจารย์เสียไปหลายปีแล้ว จะไปหาหลักฐานจากที่ไหน พวกคุณกำลังกลั่นแกล้งฉันชัด ๆ”
จ้าวหัวจูหัวเราะอย่างพอใจ “ในเมื่อเธอไม่มีหลักฐาน ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ทิ้งของที่พวกเธอขโมยมาแล้วรีบไสหัวไปซะ ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจ”
เหอเจ๋อขมวดคิ้ว เขาเป็นเพียงคนนอก ไม่ทราบสถานการณ์ในตอนนั้น จึงไม่สะดวกที่จะพูดอะไรออกไป
แต่ฝ่ายตรงข้ามมุ่งเป้าไปที่หนังสือเหล่านี้ เขาจะอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เขาตบไหล่ของหวงจิงจิงที่กระวนกระวายอยู่ เป็นเชิงปลอบให้เธอใจเย็น จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า มองไปที่จ้าวหัวจู พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “โฉนดที่ดินของคุณเป็นของเก่าเมื่อหลายสิบปีก่อน มันใช้ไม่ได้แล้ว คุณไม่ต้องอ้อมค้อม มีจุดประสงค์อะไรก็พูดตรง ๆ เลย”
จ้าวหัวจูรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาของเขา เธออ้ำอึ้งไปชั่วขณะ จนลืมไปว่าจะพูดอะไร
จ้าวซิ่วลี่ที่อยู่ข้าง ๆ รีบพูดอย่างโลภมากว่า “บ้านหลังนี้เราก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ถ้าคุณเต็มใจจะซื้อต่อ เราสามารถแถมของข้างในให้คุณได้”
คราวนี้ไม่ต้องพูดถึงเหอเจ๋อ แม้แต่ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็จะมาไถเงินนี่เอง
เหอเจ๋อหัวเราะออกมา พูดด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้ม “แล้วคุณคิดจะเอาเท่าไหร่ล่ะ?”
“สิบ… เอางี้แล้วกัน สามแสน!”
จ้าวซิ่วลี่กัดฟัน บอกราคาที่สูงลิบลิ่วออกมา
ชาวบ้านโดยรอบได้ยินแล้วต่างตกตะลึง บ้านแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นบ้านอิฐแดง อีกทั้งยังเก่าขนาดนี้ ขายได้สามสี่หมื่นก็สู
งแล้ว ผู้หญิงคนนี้กล้าเรียกเงินเพิ่มเป็นสิบเท่า คงจะไม่มีอะไรดำมืดไปกว่านี้แล้ว
หวงจิงจิงเบิกตากว้างด้วยความโกรธ คิ้วขมวดเข้าหากัน พูดเสียงแหลมว่า “สามแสน! คุณบ้าไปแล้วเหรอ? ตอนที่อาจารย์ซื้อแค่สองหมื่นหยวนเองนะ”
“สองหมื่นหยวนเช่าสามปี ขายสามแสนก็สมเหตุสมผลแล้ว” จ้าวหัวจูได้สติกลับมา ก็พูดอย่างไม่รู้สึกผิด
พวกเธอต้องหารเงินกันสองคน ถ้าขอไปน้อย ๆ คงไม่พอ
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยืนกราน หวงจิงจิงไม่มีทางเลือก จึงหันไปมองเหอเจ๋อด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ
ในเวลานี้เหอเจ๋อเห็นท่าทีที่ดื้อรั้นของผู้หญิงสองคนนี้แล้ว พวกเธอตั้งใจที่จะรีดไถเงินจากเขา
ที่จริงแล้วเงินสามแสนหยวนไม่ใช่จำนวนที่มากสำหรับเขา ไม่ต้องพูดถึงทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทภาพยนตร์เหอที่เขาสามารถใช้ได้อย่างอิสระ เพียงแค่ครั้งที่แล้วที่เขาไปที่เกาะและได้รับเงินสองล้านหยวนจากมิสเตอร์เกย์ ตอนนี้เงินก้อนนั้นก็ยังนอนนิ่งอยู่ในธนาคาร
แต่สิ่งที่เหอเจ๋อกังวลคือ ถ้าถูกรีดไถสำเร็จ มันจะยิ่งทำให้คนเลวร้ายเหล่านี้ได้ใจ และอาจใช้วิธีการเดียวกันนี้มารีดไถอีก
ชาวบ้านที่มามุงดูอาจจะเสียสมดุลทางจิตใจได้ง่าย ทำไมพวกเขาทำงานหนักมาหลายปี ยังไม่เท่ากับที่คนอื่นหลอกลวงได้ในวันเดียว?
การเปรียบเทียบเป็นบาป เมื่อเมล็ดพันธุ์ถูกหว่านลงไปแล้ว มันก็จะหยั่งรากและแตกหน่อ ออกดอกแห่งบาปในเวลาที่เหมาะสม การก่อคดีแบบกลุ่มหลาย ๆ ครั้ง เช่น โรงพยาบาลเถื่อน หรือทั้งหมู่บ้านออกไปขอทาน หรือการหลอกลวงทางโทรศัพท์ ล้วนมีต้นตอมาจากสิ่งนี้
ผีเสื้อตัวเล็ก ๆ ที่กระพือปีกในมหาสมุทรแปซิฟิกอาจก่อให้เกิดพายุรุนแรงได้ ในทำนองเดียวกัน สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นอาชญากรรมที่น่าตกใจหลาย ๆ ครั้ง อาจมีต้นกำเนิดมาจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
อย่าทำชั่วแม้เพียงเล็กน้อย อย่าละเลยความดีแม้เพียงเล็กน้อย นี่คือสิ่งที่แม่สอนเขามาตั้งแต่เด็ก
“เฮ้ คุณจะเหม่ออะไรอีกล่ะ? จะจ่ายเงินหรือจะไสหัวไป ให้คำตอบที่ชัดเจนหน่อย ขับรถหรูขนาดนั้น ทำไมถึงไม่…”
จ้าวซิ่วลี่เห็นเหอเจ๋อเงียบไม่พูด จึงใช้วิธียั่วยุเร่งเร้าเขา
เขาตัดสินใจแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นพูดอย่างใจเย็นว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของเงิน ชัดเจนว่าพวกเธอกำลังรีดไถ!”
จ้าวหัวจูหน้าบึ้งตึง พูดเยาะเย้ยว่า “ปีนกำแพงขโมยของแล้วยังกล้าพูดอีกเหรอ? งั้นก็ทิ้งของไว้แล้วรีบไสหัวไปซะ”
หวงจิงจิงพูดอย่างร้อนใจ “หนังสือพวกนี้เป็นของอาจารย์ฉัน ทำไมพวกเราถึงเอาไปไม่ได้?”
“ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!”
จ้าวหัวจูอาศัยความได้เปรียบที่รูปร่างสูงใหญ่ เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปคว้าหนังสือในมือของหวงจิงจิง
เหอเจ๋อจะยอมให้เธอทำสำเร็จได้อย่างไร เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขวางเธอไว้
เขาตั้งใจที่จะปกป้องหนังสือไม่ให้ถูกแย่งชิงไป แต่ไม่คิดว่าดวงตาของจ้าวหัวจู้จะฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา เข่าของเธออ่อนลง แล้วเธอก็ทรุดลงนั่งกับพื้น
ตอนนี้เธอหันหลังให้กับคนอื่น ๆ พอดี ในสายตาของทุกคน เหมือนกับว่าเหอเจ๋อผลักเธอจนล้ม
“จะทำร้ายร่างกายกันเหรอ!”
เธอตะโกนเสียงดัง เสียงร้องโศกเศร้า คนที่ไม่รู้เรื่องคงคิดว่าเธอเจอเรื่องร้ายแรงอะไรเข้า
เหอเจ๋อไม่คิดว่าจะเจอคนไร้ยางอายแบบนี้ เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
จ้าวหัวจูนั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอตะโกนเสียงดังอย่างไม่ยอมแพ้ “รีบแจ้งตำรวจเร็ว ขโมยจะฆ่าคนแล้ว”
พูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรแจ้งตำรวจ พูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ ด้วยท่าทีตื่นเต้น
เหอเจ๋อไม่มีทางรับมือกับผู้หญิงเจ้าเล่ห์แบบนี้ เขาจึงตั้งใจที่จะรอให้ตำรวจมาจัดการ
เมื่อได้ยินว่าจะแจ้งตำรวจ จ้าวซิ่วลี่ก็ตื่นตระหนกทันที ในใจของเธอรู้ดีว่า สิ่งที่เธอทำอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เธอเดินเข้าไปนั่งยอง ๆ ถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “พี่ ทำไมถึงแจ้งตำรวจล่ะ? โฉนดที่ดินนั้นมันหมดอายุแล้วนะ”
จ้าวหัวจูเม้มปาก พูดเบา ๆ “เธอกลัวอะไร ลืมไปแล้วหรือไงว่าพี่เขยของเธอเป็นใคร? เดี๋ยวเธอไปโทรหาเขา บอกให้เขาจัดการกับสองคนนี้ให้หนัก”
จ้าวซิ่วลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดี “ปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
ระหว่างที่รอตำรวจมาถึง จ้าวซิ่วลี่จึงแสร้งทำเป็นไปเข้าห้องน้ำ เมื่อกลับมาก็แอบทำมือโอเค เป็นสัญญาณว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
MANGA DISCUSSION