บทที่ 141 ปัญหาที่ตามมา
“เธอหมายความว่าคนที่ขับรถคันนี้ไม่ใช่คนดีงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่นะ คุณเข้าใจผิดแล้ว” หวงจิงจิงหน้าแดงก่ำ อธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ฉัน… ฉันไม่ได้หมายถึงคุณ ฉันแค่สงสัยว่ารถแบบนี้มันคือรถอะไร”
เหอเจ๋อหัวเราะลั่น ชอบใจที่แกล้งให้หวงจิงจิงซึ่งเป็นคนขี้อายอยู่แล้วต้องประหม่าได้
หวงจิงจิงรู้ทันทีว่าเขาแกล้งตัวเอง จึงจ้องเขาอย่างไม่พอใจ แต่แล้วมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
รถเฟอร์รารี่สีดำคันหรูแล่นผ่านย่านใจกลางเมืองที่พลุกพล่าน มุ่งหน้าสู่เขตชานเมืองที่กำลังอยู่ระหว่างการรื้อถอนและพัฒนาใหม่
เหอเจ๋อขับรถไปตามคำแนะนำของหวงจิงจิง ผ่านตรอกซอกซอยแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำเสีย จนมาถึงลานบ้านเล็ก ๆ ที่ทรุดโทรมหลังหนึ่ง ผนังของมันถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์สีเขียว
“ที่นี่ใช่ไหม? ”
หวงจิงจิงพยักหน้า มองไปยังลานบ้านที่ทรุดโทรม ในดวงตาฉายแววคิดถึง
เสียงเครื่องยนต์อันทรงพลังของรถเฟอร์รารี่ ดึงดูดให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหันมามอง เพราะที่นี่ไม่เคยมีรถหรูแบบนี้มาก่อน นับเป็นเรื่องปกติที่จะได้รับความสนใจ
ทันทีที่ทั้งสองลงจากรถ ที่โต๊ะเล่นไพ่ไม่ไกลออกไป มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งอยู่ หล่อนเบิกตากว้าง ร้องอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวจิง นั่นหนูเหรอ? ”
หวงจิงจิงรู้สึกคุ้นเสียงจึงหันไปมอง ก่อนจะร้องอย่างตกใจตาม “อาจ้าว อายังอยู่ที่นี่อีกเหรอ? ไม่ใช่ว่าย้ายไปต่างประเทศแล้วเหรอ? ”
ใบหน้าของจ้าวซิ่วลี่มีแววกังวลใจ ผู้คนรอบโต๊ะไพ่พากันหัวเราะลั่น
เมื่อหลายปีก่อนสามีของเธอถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ ด้วยความที่เธอเป็นคนชอบโอ้อวด จึงไปบอกใครต่อใครว่าเธอกำลังจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ช่วงนั้นเธอโดดเด่นมาก จนกระทั่งสามีถูกตำรวจส่งตัวกลับมาจึงรู้ความจริง เรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปทั่ว ทำให้เธอกลายเป็นตัวตลก
ตอนนี้เรื่องเก่าถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง เธอจึงรู้สึกอับอายขายหน้า คิดว่า หวงจิงจิงจงใจมาเยาะเย้ยจึงทำหน้าบึ้งตึง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีไป
หวงจิงจิงงุนงง เธอเคยอาศัยอยู่ที่นี่แค่ช่วงหนึ่ง ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น และไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำท่าทางไม่พอใจแบบนั้น
“ไปกันเถอะ เข้าไปข้างในกัน”
ลานบ้านนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยมานาน บนพื้นปูนซีเมนต์หน้าประตูจึงมอสสีเขียวขึ้นเต็มไปหมด รูกุญแจประตูเหล็กก็ขึ้นสนิม หมุนเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก
“เอาเถอะ เดี๋ยวฉันทำเอง”
เหอเจ๋อก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว มองกำแพง วิ่งเข้าหามันอย่างรวดเร็ว ปีนข้ามกำแพงเข้าไป แล้วเปิดประตูเหล็กจากด้านใน
หลายปีที่ไม่มีใครดูแล ลานบ้านรกร้างไปหมด หวงจิงจิงมองดูแล้วก็ถอนหายใจไม่หยุด “อาจารย์อาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงบั้นปลายชีวิต ท่านชอบความสะอาดที่สุด แม้ร่างกายไม่แข็งแรงแต่ก็ยังจัดการลานบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเสมอ ถ้าท่านมาเห็นสภาพแบบนี้คงจะเสียใจแน่”
เหอเจ๋อรู้สึกเศร้าใจเช่นกัน ชีวิตคนเราก็เหมือนม้าขาววิ่งผ่านช่องหน้าต่าง จะทิ้งอะไรไว้ได้บ้างล่ะ?
ส่วนทางจ้าวซิ่วลี่ เธอกำลังโกรธจัด พอกลับจากวงไพ่มาถึงบ้านก็ยิ่งไม่พอใจ แค่เด็กน้อยคนเดียว สามารถอาศัยเกาะเศรษฐีมาเยาะเย้ยเธอได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?
บังเอิญตอนนั้นพี่สาวของเธอ จ้าวหัวจูมาเยี่ยม พอเห็นน้องสาวหงุดหงิดจึงถามด้วยความสงสัย
จ้าวซิ่วลี่เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาอย่างเกินจริง ถ้าคนไม่รู้ที่มาที่ไปมาฟังเข้า คงคิดว่าเธอถูกรังแกอย่างหนักแน่นอน
จ้าวหัวจูฟังจบก็โกรธจัด พูดอย่างฉุนเฉียว “นังเด็กนั่นมันกล้าดียังไง! น้องเองก็อย่าโกรธไปเลย เดี๋ยวพี่จะช่วยไปสะสางความให้! ”
“พี่หมายความว่า… ”
จ้าวหัวจูหัวเราะคิกคัก เผยเล่ห์อย่างจิ้งจอกออกมา “อย่าลืมสิ บ้านนั้นเคยเป็นของอารองของเรา ก่อนฉันจะขายให้ตาแก่นั่น… เธอบอกว่าเด็กนั่นอาศัยเกาะเศรษฐีใช่ไหม? ”
จ้าวซิ่วลี่ได้ยินแล้วตาเป็นประกาย พี่น้อง 2 คนนี้ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว จึงรวมหัวกันกระซิบกระซาบ
ในลานบ้านเก่า
“ทั้งชีวิตอาจารย์ไม่มีลูกไม่มีเมีย เงินที่หาได้จากการรักษาคนไข้ก็บริจาคให้องค์กรการกุศลทั้งหมด ไม่มีทรัพย์สินเหลือ แม้แต่งานศพก็ต้องให้ลูกศิษย์ร่วมกันออกเงินจัด นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุดแล้ว ก็มีแต่หนังสือเต็มหีบใบหนึ่งเท่านั้นที่ท่านทิ้งไว้ให้”
หวงจิงจิงพูดถึงอาจารย์ด้วยความเคารพยกย่อง แม้แต่เหอเจ๋อก็แสดงความนับถือ พูดอย่างรู้สึกทึ่ง “ท่านผู้เฒ่าเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ”
หวงจิงจิงเล่าเรื่องราวของอาจารย์ไปพลาง คลำหาบางอย่างที่ผนังด้านข้างของลานบ้างไปพลาง ไม่นานก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“เจอแล้ว! ”
เหอเจ๋อหันไปมอง เห็นเธอดึงอิฐออกมาก้อนหนึ่ง แล้วหยิบกุญแจออกมาจากช่องว่าง
“ตอนนั้นกลัวว่าจะทำกุญแจหายเวลาพกพา เลยเอามันมาซ่อนไว้ตรงนี้”
หวงจิงจิงใช้กุญแจเปิดประตู หลายปีที่ไม่มีใครเข้ามา เฟอร์นิเจอร์จึงเต็มไปด้วยฝุ่นหนา พอเปิดประตูก็มีกลิ่นอับชื้นโชยมาทันที
เหอเจ๋อชะโงกหน้าเข้าไปมองดู ในห้องว่างเปล่า มีแค่เฟอร์นิเจอร์ไม้เคลือบน้ำยาเพียงชุดเดียว ภาพที่แขวนบนผนังเน่าเปื่อยจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
เขารู้สึกหดหู่ใจ ถ้าหนังสือทั้งหมดเปียกชื้นเน่าเปื่อย เขาคงทำได้แค่ร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
หวงจิงจิงกังวลเรื่องเดียวกันโดยไม่สนใจฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่ในบ้าน เธอวิ่งเข้าไปทั้งที่ปิดจมูกไว้
เหอเจ๋อตามเข้าไป ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ไม่มีคนอยู่ ไฟฟ้าถูกตัดไปแล้ว ได้แต่อาศัยแสงสลัว ๆ ที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง พวกเขาพบหีบไม้ขนาดใหญ่อยู่ที่มุมห้อง
“หนังสือทั้งหมดที่อาจารย์ทวดทิ้งไว้ให้อยู่ในหีบใบนี้”
เหอเจ๋อเปิดหีบออกดู หัวใจจมดิ่งลงไปทันที ดังคาด หนังสือชั้นบนสุดเต็มไปด้วยเชื้อราเพราะไม่มีใครดูแล
“ข้างในวุ่นวายเกินไป เอาหนังสือออกไปดูข้างนอกดีกว่า”
เหอเจ๋อยกหีบใบใหญ่เดินออกไปที่ลาน
ทั้งสองกำลังจะหยิบหนังสือออกมาดู ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าอลหม่านดังมาจากข้างนอก จ้าวหัวจู๋และจ้าวซิ่วลี่สองพี่น้องนำคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาอย่างข่มขู่ พวกเธอกรีดร้องอย่างเกรี้ยวกราด
“พวกแกสองคนทำอะไรน่ะ? ”
หวงจิงจิงเป็นคนขี้ขลาด เห็นอีกฝ่ายคนเยอะก็ตอบอย่างว่าง่ายว่า “มาเอาของอาจารย์ทวดของฉัน”
จ้าวหัวจูพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “อาจารย์ทวดของแก? บ้านหลังนี้เป็นของพวกเรา อาจารย์ทวดของแกเป็นใคร! ”
หวงจิงจิงตอบอย่างงุนงง “บ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากอาจารย์ทวด ทำไมถึงกลายเป็นของพวกคุณได้? ”
จ้าวหัวจูหยิบสมุดเล่มเล็กๆ ที่ขาดรุ่งริ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดออกแล้วชี้ไปที่ข้อความหนึ่งบรรทัดแล้วพูด “เห็นไหม? นี่คือเอกสารที่คณะกรรมการหมู่บ้านออกให้พวกเราตอนที่แบ่งโฉนดที่ดิน! เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน พวกแกยังจะปฏิเสธอีกหรือ? ”
จ้าวซิ่วลี่โกรธแค้นอยู่ในใจ รีบพูดเสริม “อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้ เมื่อกี้มีคนเห็นพวกแกปีนกำแพงเข้ามา ถ้าพวกแกเป็นเจ้าของที่นี่ ทำไมไม่เดินเข้าประตูหลัก แต่กลับปีนกำแพงเข้ามา? ”
MANGA DISCUSSION