บทที่ 140 ตามหาตำราสมุนไพร
สุภาษิตมักกล่าวว่า… อาจารย์พาเข้าประตู การฝึกฝนขึ้นอยู่กับตัวศิษย์
ดูผิวเผินแล้ว บทบาทของอาจารย์ดูเหมือนไม่สำคัญ ความสำเร็จสูงต่ำขึ้นอยู่กับความพยายามของแต่ละคน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
ความพยายามส่วนตัวกำหนดเพียงขีดจำกัดล่าง แต่สำหรับขีดจำกัดบน ต้องให้อาจารย์เป็นผู้กำหนด
ยกตัวอย่างเช่นเหอเจ๋อ ถ้าเขาไม่ได้เรียนวิชาแพทย์กับเฟิ่งเฟยเฟยผู้เป็นแม่ ก็คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับวิธีการฝังเข็ม กับวิชาอย่างเข็มวิเศษเก้าจักรยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เช่นเดียวกันหวงเทียนเหยา ที่มีความสำเร็จในวันนี้ อาจารย์ของเขาย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“แม้อาจารย์ของฉันจะไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่วิชาแพทย์ของท่านสูงส่งมาก แม้แต่ฉันในตอนนี้ก็ยังไม่อาจเทียบได้” หวงเทียนเหยากล่าวด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
เขาก้มหน้า พิจารณาผลเฟิ่งหวงที่เปล่งแสงจาง ๆ อย่างละเอียด ก่อนพูดอย่างลังเลว่า “เพราะเวลาผ่านมานานแล้ว ฉันจึงจำได้ไม่ค่อยชัดเจน จำได้แค่ว่าท่านเคยบอกว่ามีหนังสือชื่อ ‘บันทึกเส่าไจ’ ที่บันทึกวิธีจัดการกับสิ่งนี้ไว้”
“บันทึกเส่าไจ? ”
เหอเจ๋อครุ่นคิดถึงสี่พยางค์นี้แล้วขมวดคิ้ว “ผมอ่านตำราแพทย์มาไม่น้อย แต่ทำไมถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้เลย”
หวงเทียนเหยามีสีหน้าประหลาด ๆ “เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อาจารย์ของฉันเขียนเอง”
เหอเจ๋อ “…”
“ตาแก่หวง งั้นคุณจะพูดอะไรให้มากความ รีบเอาหนังสือออกมาสิ”
หวงเทียนเหยายักไหล่ มุมปากมีรอยยิ้มสะใจอยู่บ้าง “แต่หนังสือไม่ได้อยู่ในมือฉัน ฉันออกไปรักษาคนไข้ทั่วแผ่นดินตั้งแต่อายุ 20 แล้ว ไม่เคยได้พบอาจารย์อีกเลย ดังนั้นหนังสือเล่มนั้นจะอยู่ในมือของฉันได้อย่างไร? ”
เมื่อเห็นสายตาของเหอเจ๋อที่ราวกับจะฆ่าคนได้ หวงเทียนเหยาจึงรีบเสริมว่า “อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ที่พูดออกมานี่ความจริงทั้งนั้น”
“ความจริงของคุณยังไม่เท่าไม่พูดเลย มาทำให้ผมมีความหวัง ก่อนจะดับให้มอดไปเลยแบบนี้เนี่ยนะ? ” เหอเจ๋อบ่นด้วยสีหน้าน้อยใจ
หวงเทียนเหยากระแอมเบา ๆ รู้ว่าการทำแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก ดวงตาของเขากลอกไปมา แล้วยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ “แต่ถึงฉันจะไม่เคยเห็น แต่ตอนที่อาจารย์ใกล้จะสิ้นใจ จิงจิงอยู่ข้างกายท่าน นายก็ลองไปถามเธอดูสิ”
เหอเจ๋อรู้ดีว่าตาแก่คนนี้ตั้งใจแกล้งเขา หลอกให้เขาต้องกระวนกระวายใจ จึงด่าออกไปอย่างหงุดหงิด “คุณนี่มันไม่ใช่คนดีเลย พูดจาทำให้คนใจแป้วอยู่นั่น สักวันระวังลิ้นจะเน่า”
พูดจบก็ไม่รอให้อีกฝ่ายด่ากลับ รีบหันวิ่งออกไปหาหวงจิงจิงทันที
หวงเทียนเหยาหัวเราะร่า ยกน้ำชาบนโต๊ะขึ้นจิบ หัวเราะจนรอยย่นที่หางตาปรากฏชัดขึ้น
ขณะที่หวงจิงจิงกำลังล้างผักอยู่ในห้องครัว เหอเจ๋อก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา ทำให้เธอตกใจจนสะดุ้ง ตะกร้าผักร่วงลงอ่างล้างจาน น้ำกระเซ็นโดนเสื้อยืดผ้าฝ้ายที่สวมอยู่จนเปียก ปรากฏให้เห็นไหล่ขาวเนียน กระดูกไหปลาร้าดูเย้ายวนและบราสีชมพูอ่อน
ภาพสาวงามเปียกน้ำปรากฏขึ้นตรงหน้า
“นี่… ” เหอเจ๋อตกตะลึงจนพูดไม่ออก
หวงจิงจิงเห็นสายตาของเขาจ้องมองอย่างไม่ลดละก็หน้าแดงก่ำ รู้สึกเขินอายจนเอ็ดเขาออกไป “นายนี่… ทำไมไม่เข้ามาแบบให้สุ้มให้เสียงกันบ้าง ทำฉันตกใจหมด รอเดี๋ยวนะ ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
พูดจบก็รีบวิ่งไปที่ห้องนอน แต่ลืมไปว่าน้ำที่กระเซ็นเมื่อกี้มีจำนวนไม่น้อย บางส่วนจึงกระเด็นไปโดนพื้นกระเบื้อง
เดิมทีหากน้ำมีนิดหน่อยคงไม่เป็นไร แต่การกระทำของเธอในตอนนี้กลับทำให้สถานการณ์แย่ลง พื้นกระเบื้องที่เปียกน้ำลื่นราวกับพื้นน้ำแข็งในฤดูหนาว เมื่อหญิงสาวก้าวขาพลาดจนล้มลง โลกทั้งใบจึงราวกับหมุนคว้าง
“ว้าย! ” หวงจิงจิงร้องตกใจ เตรียมใจที่จะรับความเจ็บปวดแล้ว ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เธอตกลงสู่อ้อมกอดอบอุ่น กลิ่นกายของชายชาตรีที่รุนแรงโชยมา ทำเธอรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะจนลืมเบิกตาขึ้น
ตอนที่หวงจิงจิงล้ม เหอเจ๋อรีบคว้าตัวเธอไว้ แม้ร่างกายนุ่มนิ่มของหญิงสาวจะโอบกอดได้อย่างสบายมือ แต่เขากลับกังวลเรื่องหนังสือ ‘บันทึกเส่าไจ’ มากกว่า เมื่อเหอเจ๋อเห็นเธอหลับตาอยู่ จึงโบกมือไปมาตรงหน้าหญิงสาวด้วยความงุนงง “เฮ้ ตื่นได้แล้ว! ไม่ได้เป็นลมใช่ไหม? ”
หวงจิงจิงได้สติ เธอหน้าแดงก่ำ รีบดิ้นออกจากอ้อมกอดของเขา กลับเข้าไปในห้อง
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าจนสะอาดแล้ว หวงจิงจิงก็ลงมือแต่งหน้าอ่อน ๆ พอเปิดประตูออกมาก็เจอเหอเจ๋อยืนรออยู่ข้างนอก เธอตกใจจนพูดตะกุกตะกัก “นาย… นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ”
เหอเจ๋อเห็นสีหน้าของเธอจึงรีบยกมือขึ้นอธิบายความบริสุทธิ์ของตนเอง “ผมไม่ได้แอบดูนะ พอดีมีธุระด่วนต้องคุยกับคุณเฉย ๆ ”
สีหน้าของหวงจิงจิงดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างสงสัย “ธุระด่วน? ”
“ใช่ ผมได้ยินคุณปู่ของคุณเล่าว่าตอนอาจารย์ของเขาเสีย คุณอยู่ข้าง ๆ ท่านใช่ไหม? ”
หวงจิงจิงเอียงคอ คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด “ใช่ ตอนนั้นสุขภาพของอาจารย์ไม่ค่อยดี คุณปู่ยุ่งอยู่กับการนั่งตรวจคนไข้ ฉันปิดเทอมพอดี เลยไปดูแลท่านอยู่พักหนึ่ง”
เหอเจ๋อเห็นว่าพอมีหวังจึงรีบถามต่อ “งั้นคุณเคยเห็นหนังสือที่ชื่อว่า ‘บันทึกเส่าไจ’ ไหม? มันสำคัญกับผมมาก ลองคิดดูดี ๆ ที”
“บันทึกเส่าไจ? “ หวงจิงจิงขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ส่ายหน้า “ที่นั่นมีหนังสือเยอะมาก ฉันจำชื่อพวกมันไม่ได้หรอก”
พอหญิงสาวเห็นสีหน้าผิดหวังของเหอเจ๋อก็อดสงสารไม่ได้ จึงเอ่ยปาก “งั้นเอาแบบนี้ไหม เดี๋ยวฉันจะพานายไปที่บ้านเก่าของอาจารย์ บางทีนายอาจจะเจออะไรที่นั่นก็ได้”
“งั้นก็ดีเลย! ” เหอเจ๋อดีใจมาก รีบพยักหน้าตกลงทันที
หลังจากพ่ายแพ้ให้กับชายคนนั้นไปเมื่อคราวก่อน เขาจึงตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นอ่อนแอเกินไป กระนั้นกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว การฝึกฝนอย่างหักโหมอาจนำไปสู่ความเสียหายใหญ่โต เขาจึงหวังพึ่งพาพลังทดแทนจากภายนอก
และผลเฟิ่งหวงก็ปรากฏขึ้นราวกับจับวาง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ อัดแน่นไว้ด้วยพลังอันน่าทึ่งภายใน เพียงแค่หาสูตรที่เหมาะสมมาปรุงเป็นยาได้ ก็จะสามารถทำให้เหอเจ๋อก้าวหน้าขึ้นได้อย่างแน่นอน
เหอเจ๋อไม่รอช้า รีบดึงหวงจิงจิงออกจากร้านเทียนเซิ่งจู ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้กินข้าวเที่ยงด้วยซ้ำ ทำเอาหวงเทียนเหยาโมโหจนด่าตามหลังอีกชุดใหญ่ เพราะหากเชฟถูกลักพาตัว พวกเขานี่แหละที่ต้องทนหิว
นี่เป็นครั้งแรกที่หวงจิงจิงได้นั่งรถสปอร์ต เธอเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น มองไปรอบ ๆ
ในเมื่อเบาะแสของสมุนไพรปรากฏแล้ว เหอเจ๋อก็วางใจลงได้ เขาเหลือบมองเห็นท่าทางตื่นตาตื่นใจของเธอจึงเอ่ยแซวขึ้น “อยากลองขับดูไหม? ”
หวงจิงจิงส่ายหัวรัวเร็วแล้วตอบกลับ “ไม่เอาหรอก ฉันขับรถไม่เป็น จำได้ว่าตอนทำงานที่โรงพยาบาล มีคนไข้คนหนึ่งนิสัยแย่มาก พูดจาหยาบคาย ด่าทอพยาบาลอย่างไม่ไว้หน้า ได้ข่าวว่าเขาก็ขับรถรุ่นนี้นี่แหละ”
MANGA DISCUSSION