บทที่ 14 ถ้าไม่ตายก็ไม่ยอมหยุด
เมื่อเห็นเหอหย่งฝูเป็นครั้งที่สอง ในใจของเหอเจ๋อคล้ายกับขวดเครื่องปรุงทั้งห้ารสถูกเขย่า ความรู้สึกของเขาผสมปนเปรวมกันไปหมด
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มพูดประโยคแรกอย่างไร เพราะชายที่นั่งอยู่บนเตียงตรงหน้าชายหนุ่ม ก็คือพ่อของเขา
“คุณชื่อเหอเจ๋อใช่ไหม? ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้นะ” เหอหย่งฝูมองเหอเจ๋อแล้วพูดทีละคำ น้ำเสียงชัดเจนและหนักแน่น ทั่วร่างแผ่บุคลิกอันสง่างามดั่งเช่นขงจื๊อออกมา
“ไม่เป็นไร” เหอเจ๋ออยากจะพูดต่อว่า ‘นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำ’ แต่กลับพูดไม่ออกสักประโยค
ในใจของเหอเจ๋อ เอาแต่ครุ่นคิดถึงคำถามหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
ผู้ชายคนนี้ ชอบแม่จอมโหดของเขาได้ยังไง? ผู้ชายประเภทนักวิชาการที่อ่อนแอแบบนี้ กล้าเอากับแม่ของผมได้อย่างไร? ต้องเป็นแม่เขาต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแน่นอน ต้องใช่แน่ ๆ!
ในตอนนี้เหอหย่งฝูก็ใช้สายตาที่ซับซ้อนพิจารณาเหอเจ๋ออย่างละเอียดเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตใจหรือเปล่า แต่เขารับรู้ได้อย่างเลือนรางว่าชายหนุ่มตรงหน้าคล้ายคลึงกับคนคนนั้นที่ช่วงระหว่างคิ้วและดวงตา
ทว่า เหอหย่งฝูกลับไม่กล้าเอ่ยชื่อของคนคนนั้นออกมา เพราะเขา…ทำให้เธอผิดหวัง
“คุณไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหม?” หลังจากผ่านไปสักพัก เหอหย่งฝูจึงเริ่มถาม
เหอเจ๋อส่ายหัว “ไม่ใช่ ผมเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้”
“อืม” เหอหย่งฝูพยักหน้าอย่างแผ่วเบา “ฉันได้ยินเหวินฉีพูดถึงเรื่องของคุณแล้ว ทักษะการแพทย์ของคุณดีมาก ช่วงไม่กี่ปีมานี้ สุขภาพของฉันแย่ลงเรื่อย ๆ คนเราตอนแก่ตัวก็เป็นแบบนี้แหละ ดังนั้นฉันเลยอยากจ้างหมอประจำตระกูลสักคน แต่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ไม่รู้ว่าคุณจะสนใจหรือเปล่า?”
ถ้าเป็นหมอคนอื่นที่ถูกเหอหย่งฝูถามแบบนี้ เขาก็คงตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ
เหอเจ๋อรู้สึกสับสนกับท่าทีของเหอหย่งฝูเล็กน้อย ถ้าเหอหย่งฝูไม่รู้จักตัวตนของเขา เรื่องทุกอย่างก็คงง่ายกว่านี้ แต่ถ้าเหอหย่งฝูรู้ตัวตนของเขาแล้ว เบื้องหลังที่ซ่อนอยู่หลังคำเชิญครั้งนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาทันที
ทว่า หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เหอเจ๋อก็ตอบตกลงคำขอของเหอหย่งฝู ไม่ว่าจะในฐานะหมอประจำตัว หรือในฐานะลูกชายของเหอหย่งฝู เขากับเหอหย่งฝูก็ควรจะอยู่ในฝ่ายเดียวกัน
อย่างน้อยก็ไม่ควรปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ตายด้วยน้ำมือคนอื่น
“ผมตกลงก็ได้ แต่ว่า เรื่องเงินเดือนอะไรพวกนี้ ต้องคุยกันก่อนใช่ไหม?” เหอเจ๋อพูดอย่างเถรตรง
“ค่าตอบแทนคุณจะเรียกเท่าไหร่ก็ได้” เมื่อยินคำตอบของเหอเจ๋อ เหอหย่งฝูก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดขึ้น
เหอเจ๋อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “งั้นโอนเข้าบัญชีผมเดือนละสองหมื่นหยวนก็แล้วกัน…”
เหอเจ๋อยังพูดไม่ทันจบ จางเหวินฉีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นเธอก็รู้ตัวว่าเหอเจ๋อกับเหอหย่งฝูกำลังมองเธออยู่ เธอก็รีบเอามือปิดปาก ทำสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม “ขอโทษค่ะ ฉันเสียมารยาทเอง”
“คุณกำลังหัวเราะผมอยู่เหรอ?” เหอเจ๋อมองจางเหวินฉี
เหอหย่งฝูพูดไกล่เกลี่ย “เหวินฉีแค่คิดว่าราคาที่คุณเรียกมันน้อยไป ฉันเป็นคนกำหนดเองก็แล้วกัน เดือนละหนึ่งแสนหยวน แล้วค่อยมาเซ็นสัญญากัน คุณไม่จำเป็นต้องมาหาฉันทุกวัน แต่ถ้าฉันเกิดอะไรขึ้น คุณต้องรีบมาหาทันที”
เหอเจ๋อรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนผ่าว เขาก็ไม่มีทางเลือก ในเมืองใหญ่ระดับแนวหน้าอย่างกว่างหนาน เงินเดือนสองหมื่นหยวนก็ถือว่าสูงมากแล้ว แต่เขาก็ยังประเมินต่ำเกินไปสำหรับอำนาจมหาศาลของบริษัทเหอฟิล์ม เดือนละหนึ่งแสนหยวน สำหรับเหอหย่งฝูแล้วไม่ถือว่าเป็นอะไรเลย เพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น
“ก็ได้ เอาตามนี้แล้วกัน ทุกเดือนผมจะให้ตำรับยาคุณ คุณทานยาตามสูตรนี้ไปเรื่อย ๆ ร่างกายก็จะดีขึ้นเอง นอกจากยาของผมแล้ว คุณอย่าไปทานยาหรือของบำรุงอื่นอีก เพราะมันอาจจะต่อต้านกันได้” เหอเจ๋อไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเงินก้อนโตจำนวนหนึ่งแสนหยวนต่อเดือน จึงพูดต่อ และเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง เขารู้ว่าในร่างกายของเหอหย่งฝูยังมียาพิษชนิดหนึ่งหลงเหลืออยู่ และพิษชนิดนี้มีความพิเศษมาก สามารถผสมลงในอาหารเสริมแบบไหนก็ได้ การที่เหอเจ๋อพูดแบบนี้ ก็เพื่อไม่ให้อาการของเหอหย่งฝูแย่ลง
เหอหย่งฝูพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับจางเหวินฉีว่า “เหวินฉี พาเหอเจ๋อไปเซ็นสัญญาหน่อยนะ ฉันเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนสักหน่อย”
จางเหวินฉีพยักหน้า แล้วพาเหอเจ๋อเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย
เมื่อมองดูแผ่นหลังของเหอเจ๋อที่จากไป แววตาของเหอหย่งฝูก็อ่อนโยนลง
เขาอ้าปากพึมพำกับตัวเองว่า “เฟยเฟย เขาคือ… ลูกชายของพวกเราใช่ไหม?”
จางเหวินฉีขับรถ หลบเลี่ยงการตามติดของปาปารัสซี่มากมาย จนในที่สุดก็กลับมาถึงอาคารสำนักงานหลักของบริษัทเหอฟิล์ม
บริษัทเหอฟิล์ม ตั้งอยู่ที่เขตเทียนเหอ เมืองกว่างหนาน เป็นตึกสำนักงานสูงยี่สิบชั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นของบริษัทบริษัทเหอฟิล์มแต่เพียงผู้เดียว
แค่ตึกสำนักงานนี้หลังเดียว ก็มีมูลค่าเกือบหมื่นล้านหยวนแล้ว ลองคิดดูสิว่าบริษัทเหอฟิล์มจะทำกำไรได้ปีละเท่าไหร่?
เหอเจ๋อเดินตามจางเหวินฉีมาที่แผนกกฎหมายของบริษัทเหอฟิล์ม เพื่อเซ็นสัญญากันที่นั่น
ในสัญญาไม่ได้มีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากนักสำหรับเหอเจ๋อ ถ้าสภาพร่างกายของเหอหย่งฝูไม่มีปัญหา เหอเจ๋อก็มีอิสระอย่างแท้จริง
เหอเจ๋อกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในสัญญาอย่างคร่าว ๆ เซ็นชื่อลงในสัญญา เรื่องทุกอย่างก็เป็นอันเรียบร้อย
หลังจากนั้น เนื่องจากจางเหวินฉียังมีธุระอื่นที่บริษัท เธอจึงให้เหอเจ๋อกลับไปก่อน ก่อนจะจากไป เธอได้มอบบัตรพนักงานของบริษัทให้เหอเจ๋อ ซึ่งบัตรนี้สามารถใช้เข้าออกบริษัทได้อย่างอิสระ
เหอเจ๋อแขวนบัตรพนักงานไว้ที่หน้าอก จากนั้นก็เข้าไปในลิฟต์เพื่อลงไปที่ชั้นหนึ่ง
ช่วงบ่ายไม่มีธุระอะไร เขาตั้งใจจะไปเดินเล่นแถวนั้น เพราะไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขามาเมืองนี้
ทันทีที่ก้าวออกจากลิฟต์ เหอเจ๋อก็ชนเข้ากับชายคนหนึ่งที่กำลังจะเข้ามาพอดี
เขาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วพบว่าคนที่ถูกเขาชนนั้น กลับเป็นเติ้งเฉิงชาง!
“ตาบอดเหรอถึงเดินไม่ดูทาง รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” เติ้งเฉิงชางตะโกนใส่เหอเจ๋อตั้งแต่ประโยคแรก
“เอ่อ…” เหอเจ๋อมองเติ้งเฉิงชางด้วยแววตาเวทนา
เติ้งเฉิงชางเพ่งมองดูอีกครั้ง ถึงได้รู้ว่าคนที่ชนกับเขาคือเหอเจ๋อ
“ทำไมเป็นนาย? เมื่อวานนี้ยังทำเป็นสูงส่งจนไม่ยอมรับเงินไม่ใช่หรือไง?” พอเห็นเหอเจ๋อแล้ว เติ้งเฉิงชางก็ไม่ขึ้นลิฟต์ แต่กลับพูดจาดูถูกเหอเจ๋อแทน พวกคุณหนูคุณชายรุ่นสามนี้มีรสนิยมแปลกประหลาดอะไรกัน เหอเจ๋อไม่เคยไปหาเรื่องเขาก่อนเลยสักครั้ง…
ถ้าจะให้หาเหตุผลจริง ๆ เหอเจ๋อก็นึกออกเพียงอย่างเดียว คือเขาหน้าตาดีกว่าเติ้งเฉิงชางก็เท่านั้น
“นี่…คุณเติ้งเฉิงชาง คุณไม่ได้รีบหรอก? ทำไมถึงมีเวลามาพูดเล่นกับคนขี้เกียจแบบผมอีก” สำหรับคนแบบนี้ เหอเจ๋อไม่อยากสนใจเลย
เติ้งเฉิงชางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มุ่งเป้าไปที่เหอเจ๋อ เมื่อเห็นเหอเจ๋อกำลังจะเดินหนี ก็รีบวิ่งไปขวางหน้าเขาไว้ “อย่าคิดว่าแค่ช่วยชีวิตลุงของฉันไว้ แล้วนายจะมีสิทธิ์มาพูดกับฉันแบบนี้นะ ระวังท่าทีหน่อย!”
เหอเจ๋อคิดว่า เติ้งเฉิงชางคงจะเข้าใจความสำคัญของเวลา
ดังนั้น เขาจึงเข้าใกล้เติ้งเฉิงชางโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น แล้วยื่นนิ้วมือไปกดแรง ๆ ที่ใต้ท้องด้านซ้ายของเติ้งเฉิงชาง
“หืม?” เติ้งเฉิงฉางยังไม่ทันได้ตอบสนอง
เหอเจ๋อก็เดินผ่านไป “คุณเติ้งเฉิงชาง ถ้าคุณไม่รีบไปตอนนี้มันจะไม่ทันแล้วนะ”
ตอนแรกเติ้งเฉิงชางได้ยินประโยคแปลก ๆ นี้ และยังไม่ทันเข้าใจความหมาย
แต่ไม่ถึงสองวินาที เขาก็ผายลมออกมาเสียงดัง ‘ปู๊ด!’ คนที่ชั้นล่างได้ยินกันชัดเจน ทุกคนหันมามองเติ้งเฉิงชาง
เติ้งเฉิงชางยังไม่ทันรู้สึกอับอาย ความรู้สึกปวดท้องเข้ามาแทนที่ เขารีบกุมท้องวิ่งฝ่าไปที่ห้องน้ำทันที
นี่แหละคือตัวอย่างที่ชัดเจนของ ‘ถ้าไม่ตายก็ไม่ยอมหยุด’
เหอเจ๋อมองตามแผ่นหลังเติ้งเฉิงฉางอย่างพึงพอใจ ยิ้มอย่างยียวนก่อนจะหันหลังเดินจากไป
MANGA DISCUSSION