บทที่ 138 เข้าร่วมงานศพ
เหอเจ๋อส่งข้อความเสร็จก็เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง พอมองไปรอบ ๆ ห้องที่รกไม่เป็นท่า ก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ จากนั้นจึงหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดความเสียหายจากการต่อสู้
ตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงตกค่ำ เขายังไม่ได้กินอะไรเลย ท้องพากันร้องโครกครากเป็นการประท้วง
และเขาก็บังเอิญถือคติ ‘คนเรากินข้าวเป็นหลัก และต้องกินให้อิ่มท้องก่อน ถึงจะมีแรงคิดอ่านทำอะไรต่อ’ เสียด้วย
เรื่องทำอาหารไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับเหอเจ๋อ เขาเดินไปที่แปลงผักหน้าบ้าน เด็ดมะเขือเทศมา 2 ลูก ล้างมันผ่านน้ำก๊อก หยิบไข่ไก่จากตู้ใต้เคาน์เตอร์ออกมาอย่างชำนาญ เปิดเตาแก๊ส ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน ไม่นานนัก กลิ่นหอมก็ลอยอบอวลไปทั่ว
มะเขือเทศผัดไข่ไก่ราดบนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารที่เรียบง่ายและจริงใจที่สุดของชาวจีนเป็นอันเสร็จเรียบร้อย เหอเจ๋อที่หิวโซมานานหยิบตะเกียบขึ้นมาทานมันอย่างเอร็ดอร่อย
ความสุขนั้นไม่ได้วัดกันที่เงินเสมอไป บะหมี่มะเขือเทศผัดไข่ไก่ราคาถูก ๆ ก็ทำให้คนมีความสุขได้ ในขณะที่อาหารรสเลิศมากมายอาจทำให้คนกลืนไม่ลงคอ
“พ่อ ทานอะไรหน่อยเถะค่ะ นี่อาหารที่พ่อชอบทั้งนั้น ปล่อยให้ท้องหิวแบบนี้ไม่ดีนะคะ” จางเหวินฉีพยายามฝืนยิ้ม พูดปลอบโยน
“พ่อทานไม่ลงหรอก” เหอหย่งฝูส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
จางเหวินฉีรู้ดีว่าเขากำลังเสียใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของเหอซู่โหรว
เหอหย่งฝูโศกเศร้าเสียใจมาเป็นเวลานาน พิษแมงมุมน้ำแข็งในร่างกายของเขายังไม่หายขาด ร่างกายเองก็อ่อนแออยู่แล้ว ถ้าจมอยู่กับความเศร้าโศกเช่นนี้เป็นเวลานานโดยไม่ผ่อนคลายอารมณ์ ร่างกายอาจจะทนไม่ไหวและล้มป่วยลงอีกครั้ง
คิดถึงเรื่องป่วย จางเหวินฉีก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เธอพูดขึ้นว่า “พ่อ ตอนนี้เสี่ยวเจ๋อน่าจะถึงบ้านแล้ว พ่อลองโทรไปถามเรื่องแม่ของเขาดูไหมคะ? ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเหอหย่งฝูก็ดีขึ้นมาก เขารู้สึกผิดและพูด “พ่อมัวแต่ยุ่งจนลืมเรื่องนี้ไปเลย เดี๋ยวพ่อโทรหาเขาเดี๋ยวนี้แหละ”
ตอนที่เหอเจ๋อกำลังกลืนบะหมี่ เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากเหอหย่งฝู
“คือ… ตอนผมกลับมา ผมก็ไม่เห็นแม่ครับ แม่กลับบ้านเกิดไปแล้ว”
“กลับบ้านแม่? ”
น้ำเสียงของเหอหย่งฝูมีความแปลกใจปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง แม้จะสั้นมาก แต่เหอเจ๋อก็ยังจับสังเกตได้ เขาจึงชิงถามอย่างรีบร้อนต่อแทน “พ่อพอรู้เรื่องครอบครัวของแม่บ้างไหมครับ? ”
ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่คิดจะไปหาในเร็ว ๆ นี้ แต่รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง การรู้จักศัตรูให้มากขึ้นไม่เสียหายอะไร
เหอหย่งฝูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างขอไปทีว่า “ก็นิดหน่อยนะ เหมือนจะเป็นตระกูลนักสู้โบราณ แต่ตอนนั้นสถานการณ์ของเราค่อนข้างพิเศษ รีบแต่งงานกันมาก ไม่มีญาติฝ่ายไหนมาร่วมงานเลย พ่อก็เลยไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่นัก”
เหอเจ๋อขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าพ่อไม่ยอมเล่ารายละเอียด เขาจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา และเพื่อไม่ให้พ่อเป็นห่วง จึงตัดส่วนที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บออกไป บอกเพียงว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีปากเสียงและกระทบกระทั่งกัน
เหอหย่งฝูรู้เรื่องราวเบื้องลึกบางอย่าง เมื่อฟังจบก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสบถเบา ๆ แล้วพูด “เรื่องนี้ลูกไม่ต้องยุ่งแล้ว ที่นั่นไม่ปลอดภัย ลูกกลับมาก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อจะส่งคนไปตรวจสอบเอง”
เหอเจ๋อเห็นว่าพ่อยืนกรานที่จะไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ จึงไม่สะดวกที่จะเค้นถามต่อ เขาได้แต่กดวางสายด้วยความจนใจ เตรียมตัวกลับกว่างโจวแล้วค่อยสืบเรื่องนี้ต่ออีกที
เมื่อกลับมาถึงห้องที่คุ้นเคย เหอเจ๋อดันนอนไม่หลับ เขามองดูแสงจันทร์ที่สาดส่องอยู่ด้านนอกหน้าต่าง จึงลุกขึ้นนั่งอย่างเหม่อลอย ภาพเหตุการณ์ที่ปะทะกับไอ้เวรเมื่อตอนกลางวันฉายวนเวียนอยู่ในหัว เขานั่งไขว้ขา ครุ่นคิดถึงมันอย่างถี่ถ้วน
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบงัน
วันรุ่งขึ้น เหอเจ๋อตรวจสอบร่างกายตนเอง พบว่าแผลที่ได้รับเมื่อวานนี้ไม่ร้ายแรงแล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาท เขาจึงยังปรุงยาสมุนไพรบรรเทาอาการฟกช้ำดำเขียวกินเพิ่มอีกขนาน
หลังจากกินยาแล้วก็ทำความสะอาดบ้าน ยกเอายาสมุนไพรที่ตากไว้ด้านนอกเข้ามาเก็บด้านใน จัดเรียงให้เรียบร้อย ล็อคประตูหน้าต่าง ปิดน้ำ ปิดไฟ
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด จากนั้นก็สะพายเป้ ขณะหันหลังเดินจากไป ก็อดมองบ้านหลังน้อยด้วยความอาลัยไม่ได้
“เสี่ยวเจ๋อ เพิ่งกลับมาจะไปไหนอีกแล้วล่ะ ยังไม่ได้ไปกินข้าวที่บ้านฉันเลย”
ที่สถานีขนส่ง เหอเจ๋อพบกับอาหวังโดยบังเอิญ เขาไม่อยากเปิดเผยอะไรมาก จึงยิ้มเจื่อน ๆ แล้วพูด “แม่ผมกลับบ้านเกิดพอดี ผมก็เลยจะไปเยี่ยมด้วย”
“อ๋อ ไปเยี่ยมญาติสินะ” อาหวังทำท่าทางเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง เขาอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า “รอก่อนนะ”
พูดจบก็วิ่งกลับบ้านไป ทิ้งให้เหอเจ๋อยืนงงอยู่คนเดียว
ไม่ถึงสิบนาที อาหวังก็วิ่งกลับมาพร้อมกับห่อผ้าสีดำที่พันไว้อย่างแน่นหนา ยัดมันใส่มือเหอเจ๋อ
“อาหวัง นี่อะไรครับ”
“ตอนเสี่ยวหูยังเด็ก มันไม่สบาย เกือบเอาชีวิตไม่รอด ต้องขอบคุณแม่ของเอ็งที่ช่วยชีวิตเสี่ยวหูเอาไว้ บุญคุณครั้งนั้นฉันจำใส่ใจมาโดยตลอด นี่เป็นของที่ฉันเจอตอนเข้าไปในป่าโดยบังเอิญ เอ็งรับมันไปเถอะ”
เหอเจ๋อกำลังจะเปิดดู อาหวังก็คว้าข้อมือเขาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “ข้างในน่ะ รอให้เอ็งอยู่คนเดียวก่อนค่อยเปิดดูดีกว่า”
เหอเจ๋อเห็นท่าทางลึกลับของอาหวังจึงไม่อยากขัดศรัทธา จัดการเก็บห่อผ้าสีดำใส่เป้ แล้วกล่าวขอบคุณก่อนจะขึ้นรถไป
2 วันต่อมา ที่สถานีรถไฟกว่างโจว เหอเจ๋อพบกับจางเหวินฉีที่สวมชุดดำ
สองพี่น้องสวมกอดกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ แต่รับรู้ได้ถึงความอบอุ่น
จางเหวินฉีรับเป้ไปวางไว้ที่เบาะหลัง พูดด้วยน้ำเสียงแฝงนัยว่า “งานศพของอาจัดวันนี้ พ่อรอเธอกลับมาอยู่”
เหอเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เหอซู่โหรวกับเขาไม่ค่อยถูกกันตอนยังมีชีวิต เหอหย่งฝูจึงรอให้เขากลับมาเพื่อจัดงานศพ โดยหวังว่าเขาจะลืมความบาดหมางในอดีต และกลับมาเป็นครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกันอีกครั้ง
เมื่อคนเราตายไปแล้วก็เหมือนแสงเทียนดับลง เหอเจ๋อจึงไม่คิดจะเก็บเรื่องราวในอดีตมาใส่ใจอีกต่อไป เขาหันไปถามว่า “ชุดไว้ทุกข์ของผมเอามาหรือยัง? ”
…
ช่วงนี้ครอบครัวเหอต้องเผชิญกับเรื่องวุ่นวายมากมาย เริ่มจากการกลับมาของลูกชายคนเล็กที่หายไปนานถึง 20 ปีอย่างยิ่งใหญ่ ตามมาด้วยการฆาตกรรมและการแย่งชิงอำนาจ และในขณะที่ทุกคนคิดว่าเติ้งหมิงเจี๋ยผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ก็เกิดเหตุการณ์ช็อกโลกขึ้นอีกครั้ง เมื่อเหอซู่โหรวถูกลูกหลงฆ่าตายอย่างน่าอนาถ
งานศพจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แต่กลับมีแขกมาร่วมงานไม่มากนัก นอกจากญาติพี่น้องแล้วก็มีเพียงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทภาพยนตร์เหอเท่านั้น
เหอหย่งฝูร้องไห้จนแทบเป็นลม ส่วนจางเหวินฉีก็น้ำตาไหลพรากไม่หยุด
เหอเจ๋อมองรูปถ่ายบนหลุมศพ ดวงตาของเขาชื้นไปด้วยความเศร้า เขาหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ได้พบหน้ากัน แม้จะมีแต่เรื่องทะเลาะกัน แต่เขาก็ไม่เคยเรียกเธอว่า ‘อา’ ด้วยความจริงใจเลยสักครั้ง นี่เป็นสิ่งที่เขารู้สึกเสียใจอย่างมาก
MANGA DISCUSSION