บทที่ 135 อุบัติเหตุในครัวเรือน
ความผกผันในชีวิตมักเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจคนเรามากที่สุด คนบางคนถึงขั้นกลายเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หลังจากประสบพบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มา
“มีคนใส่เสื้อผ้าของพวกเราไปล่อตำรวจเรียบร้อยบอส พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปท่าเรือเลย ที่นั่นมีเรือเร็วรออยู่ คืนนี้พวกเราจะออกนอกประเทศได้แล้ว”
ชายร่างเตี้ยล่ำที่เป็นคนขับรถหันมาบอกสถานการณ์
หม่ารุ่ยหายใจหอบถี่ ๆ เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
ครั้งนี้เขาบาดเจ็บไม่น้อย เพราะคนที่คุมตัวพวกเขามาเป็นทหารหน่วยพิเศษ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาลอบโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว ผลแพ้ชนะคงตัดสินได้ยาก
อาการบาดเจ็บที่สาหัสที่สุดของเขาอยู่แถวหน้าอก ถ้าตอนนั้นกระสุนเฉียดขึ้นไปอีกแค่เซนเดียว ป่านนี้เขาคงได้ลงนรกไปแล้ว
ภายในรถเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงหอบหายใจค่อย ๆ เบาลง หม่ารุ่ยจึงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ดูไม่ออกว่าจริงใจหรือไม่ “ครั้งนี้ เพื่อช่วยนาย พวกเราต้องจ่ายราคาแพงมาก”
เติ้งหมิงเจี๋ยหลับตาลง พูดอย่างใจเย็น “ฉันแปลกใจ ในสายตาของพวกนาย ฉันน่าจะเป็นได้แค่หมาจนตรอกที่ไม่มีค่าอะไรเท่านั้น การลงทุนลงแรงแม้เพียงนิดก็ยังนับว่าสูญเปล่า สำหรับคนฉลาดอย่างนาย นี่มันช่างโง่เขลาสิ้นดี นายคิดว่าฉันจะสามารถทวงบริษัทภาพยนตร์เหอกลับคืนมาได้อย่างงั้นเหรอ? ”
หม่ารุ่ยหัวเราะลั่น ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังแล้วพูด “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? ”
“อย่ามาล้อเล่นน่า ตอนนี้ฉันกลายเป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัวแล้ว แค่จะมีชีวิตรอดไปได้ถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่ายังไม่รู้”
“ไม่ ๆ เชื่อผมเถอะ เหตุผลเป็นสิ่งที่ใช้กำลังตัดสินได้ ถ้ากำปั้นของนายใหญ่พอ ไม่ว่าเรื่องพวกนั้นจะฟังดูไร้สาระแค่ไหนก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”
แววตาของเติ้งหมิงเจี๋ยเปล่งประกายความตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ฉันต้องจ่ายอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน”
“คุยกับคนฉลาดนี่มันง่ายดีจริง ๆ ” หม่ารุ่ยดีดนิ้ว พูดอย่างไม่ใส่ใจ “มีชีวิตรอดก็พอ”
มันเป็นข้อเรียกร้องที่เรียบง่ายจนแทบไม่เรียกว่าข้อเรียกร้อง แต่ในใจของ เติ้งหมิงเจี๋ยกลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก…
หลังจากนั่งรถเมล์เก่า ๆ โยกเยกไปมาอยู่ 3 ชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็มาถึงเมืองหลินอัน
เหอเจ๋อหาวหวอด ๆ ลงจากรถ เพียง 2 ก้าวก็มีเสียงตะโกนอย่างดีใจปนประหลาดใจดังขึ้นข้างหู
“เสี่ยวเจ๋อ ไอ้เด็กบ้า หายหัวไปไหนมาตั้งนาน ไม่เห็นหน้าค่าตากันเลย ไปเที่ยวไกลขนาดนี้ไม่คิดจะบอกกันสักคำ”
แค่ได้ยินเสียง เหอเจ๋อก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เขายิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
แม้คำพูดจะหยาบคาย แต่ความจริงใจที่แฝงอยู่นั้นมีค่ามากกว่าคำประจบประแจงเสแสร้งเป็นหลายเท่าตัว
“อาหวัง ที่นาเป็นยังไงบ้างครับ? หูจื่อเรียนเป็นไง สอบได้ที่หนึ่งอีกหรือเปล่า? ”
เมื่อพูดถึงลูกของตัวเอง หวังหมิงที่แบกจอบสวมเสื้อกล้ามสีขาว มีใบหน้าธรรมดา ๆ ก็เผยรอยยิ้มภาคภูมิใจ เลียนแบบคำพูดทันสมัยจากในทีวี “เรื่องแค่นั้นไม่ใช่ปัญหา! คราวนี้สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียน ผู้อำนวยการถึงกับมาเยี่ยมที่บ้านอา ช่างน่าภูมิใจจริง ๆ ”
“งั้นคราวนี้อาคงต้องเลี้ยงฉลอง”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เอ็งหายหน้าหายตาไปนานแล้ว กลับบ้านไปดูก่อนเถอะ เมื่อกี้อาได้ยินหลี่โกวต้านบอกว่าเห็นแขกมาที่บ้านเอ็ง อาจจะเป็นญาติก็ได้”
“ญาติเหรอ? ขอบคุณที่บอกนะครับอาหวัง ผมจะรีบกลับไปดูเดี๋ยวนี้แหละ”
เหอเจ๋อพูดจบก็รีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ทำให้หวังหมิงส่ายหน้าพลางพึมพำว่า “ผ่านมาหลายปีแล้ว นิสัยลุกลี้ลุกลนก็ยังไม่เปลี่ยน”
ตลอดทางเหอเจ๋อไม่กล้าหยุดพักเลย คนนอกอาจไม่รู้ แต่เขารู้ดี ตั้งแต่เด็กจนโตเขายังไม่เคยเห็นกระทั่งหน้าของพ่อเลย แล้วจะไปมีญาติที่ไหนมาหาได้
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสังหรณ์ใจว่า ‘ญาติ’ ที่โผล่มาอย่างกะทันหันนี้ คงไม่ใช่คนดีแน่
หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ไม่นานเหอเจ๋อจึงเห็นบ้านอิฐสองชั้นที่คุ้นเคย เขาถอนหายใจโล่งอก แล้วหัวเราะเยาะตัวเอง “ถ้าแม่เห็นท่าทางตื่นตระหนกของเรา คงจะหัวเราะเยาะว่าเราไม่มีความเป็นลูกผู้ชายที่ ‘ภูเขาถล่มอยู่ตรงหน้าก็ไม่สะทกสะท้าน’ แน่ ๆ ”
ปากบ่นพึมพำ มือผลักประตูเข้าไป ในลานบ้านยังคงเหมือนเดิม ทางตะวันออกมีสมุนไพรนานาชนิดตากอยู่ ทางตะวันตกมีกองเสื้อผ้ารองเท้าและของใช้สารพัดวางระเกะระกะ
ห้อง 3 ห้องตรงข้ามประตูใหญ่จากซ้ายไปขวาคือห้องครัว ห้องโถง และห้องตรวจคนไข้ ด้านข้างมีบันไดขึ้นไปชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนและห้องหนังสือ
พอได้มองภาพที่คุ้นเคยแต่กลับแปลกตาตรงหน้า ดวงตาของเหอเจ๋อพลันชื้นขึ้น ทุกอย่างที่นี่บันทึกชีวิตตลอด 20 ปีของเขาเอาไว้ ทุกคำพูดในตอนนี้รวมเป็นประโยคเดียว!
“แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว! ”
เขาตะโกนเสียงดัง คิดว่าเฟิ่งเฟยเฟยจะวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมดาบหลงเฉวียนด้วยความโกรธ แต่รอนานก็มีแต่ความเงียบตอบกลับมา
ใบหน้าของเหอเจ๋อหม่นลงทันที เขาวิ่งเข้าไปในห้องโถง ในห้องไม่มีใคร ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว เห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยการต่อสู้
หัวใจของเขาบีบรัด เดาถูกจริง ๆ สินะ มีแขกไม่ได้รับเชิญมาจริง ๆ ?
ตอนนั้นเองที่สายตาของเขาเหลือบไปเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะกาแฟ บนนั้นตัวละครโปรดของเฟิ่งเฟยเฟยกำลังยืนอยู่ที่น้ำพุอย่างเดียวดาย ในกล่องแชทเต็มไปด้วยคำด่าอย่างบ้าคลั่งจากเพื่อนร่วมทีม
‘ไอ้หมาเวร ทำกูเสียแต้ม’
‘แจ้งแบนไอ้ตัวป่วนนี่เลย! ’
‘รอสักยี่สิบนาทีแล้วค่อยออกเกมก็ได้ เข้ามาแล้วออกไปแบบนี้ไม่มืออาชีพเลยนะ’
…
ทันใดนั้นเหอเจ๋อก็นึกขึ้นได้ เกมเพิ่งเริ่มไปได้ไม่นาน นั่นหมายความว่าเมื่อครู่นี้ยังมีคนอยู่ในห้อง และน่าจะยังไปไหนไม่ไกล เขาจึงรีบหันหลังวิ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ยืนอยู่บนระเบียงแล้วมองไปรอบ ๆ และกวาดสายตาไปเห็นรถสีดำ 2 คันจอดอยู่บนถนนซีเมนต์หลังบ้าน มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังลากใครบางคนขึ้นรถ
“หยุดนะ! ” เหอเจ๋อเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากล เขาตะโกนลั่นแล้วกระโดดลงมาจากชั้นสอง
ชายวัยกลางคน 3 คนที่อยู่ข้างรถหันไปคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทิ้งให้ชายร่างผอมสูง 2 คนคุมตัวเฟิ่งเฟยเฟยไว้ ส่วนชายร่างผอมสูงอีกคนเดินเข้ามาหาเหอเจ๋อ ดวงตาของเขาดูแข็งกร้าวพร้อมกับเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “แกเป็นใคร”
ตลอดทางเหอเจ๋อเห็นร่องรอยการต่อสู้ของแม่ จึงรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า และปล่อยหมัดเข้าใส่ชายร่างผอมตรงหน้าทันที พร้อมกับตะโกนลั่นว่า
“กูเป็นบรรพบุรุษของมึงไง! ”
ชายร่างผอมชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาอย่างดูถูก “ไม้ซีกคิดจะงัดกับไม้ซุงอย่างนั้นเหรอ? ”
พูดจบก็ยกแขนขึ้น เตรียมพร้อมรับหมัดจากเหอเจ๋อที่พุ่งเข้ามาตรง ๆ ดูเหมือนต้องการจะวัดพลังกับเหอเจ๋อแบบไม่มีกั๊ก
MANGA DISCUSSION