บทที่ 133 คนบ้า
เมื่อไม่สามารถไปด้วยตัวเองได้ เหอหย่งฝูจึงลังเลเล็กน้อย และหันไปหยิบจี้หยกรูปพระจันทร์เสี้ยวออกมาจากกระเป๋าที่พกติดตัวเสมอ
จี้ใช้วัสดุและฝีมือการแกะสลักที่ธรรมดามาก แทบจะเป็นของที่หาซื้อได้ตามร้านแผงลอยทั่วไป แต่เขากลับทะนุถนอมราวกับสมบัติล้ำค่า ค่อย ๆ วางไว้บนฝ่ามือแล้วลูบไล้อย่างทะนุถนอม
“จี้คู่นี้เป็นของที่พ่อซื้อให้เฟยเฟย ตอนที่พวกเราเช่าห้องอยู่ด้วยกัน พ่อซื้อมันจากแผงลอยเป็นของหมั้นหมายคนละครึ่ง แม้จะไม่มีค่าอะไรมากนัก แต่ตลอดหลายปีมานี้ทุกครั้งที่นึกถึงเธอ พ่อก็จะหยิบมันออกมาดูเสมอ ไม่เคยลืมเลยสักครั้ง คราวนี้ไปด้วยตัวเองไม่ได้ ก็เอาอันนี้ไปให้เธอแทนแล้วกัน”
เหอเจ๋อรับจี้มาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง แล้วพูดอย่างจริงจัง “พ่อวางใจได้ ผมจะพูดให้แม่กลับมาให้ได้”
แม้ปากจะบ่นว่าได้พ่อแม่แบบนี้มาทำให้ตัวเองไม่อึดอัดใจ แต่จริง ๆ แล้วเขาก็ชื่นชมความรักที่ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจนได้อยู่ด้วยกันของทั้งคู่อย่างสุดหัวใจ
ณ สถานีตำรวจ
ที่นี่เป็นสถานที่ที่วุ่นวายกว่าคุกเสียอีก มีทั้งโจรขโมยเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงฆาตกรโหดเหี้ยม อีกทั้งผู้ต้องขังที่นี่ส่วนใหญ่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่มา อารมณ์จึงไม่มั่นคงนัก เพียงแค่มีอะไรมากระทบนิดหน่อย ก็อาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้
ทุกคนต่างเครียดจัด ก้มหน้าก้มตาเงียบกริบ มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้นที่ทำให้คนรำคาญจนต้องด่าออกมาสองสามคำ
เติ้งหมิงเจี๋ยนั่งอยู่ตามลำพังที่มุมห้อง จ้องเพดานตาไม่กะพริบ เขามาอยู่ที่นี่ 3 วันแล้ว ยังไม่ได้กินข้าวสักคำ ไม่ใช่เพราะไม่มีอาหาร แต่เพราะกินไม่ลงต่างหาก
ความเศร้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการที่หัวใจตายด้าน คำพูดนี้เหมาะกับสภาพของเขาในปัจจุบันที่สุด
เมื่อ ‘ความทะเยอทะยาน’ ที่วางแผนมาหลายปีถูกดับสิ้น จากสวรรค์ตกลงสู่นรกในชั่วพริบตา จิตใจของเขาจึงพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณเท่านั้น
จู่ ๆ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในสถานีตำรวจที่เงียบสงบ ตำรวจพาชายหัวโล้นร่างใหญ่มีรอยสักเข้ามา
ต่างจากผู้ต้องขังคนอื่นที่เข้ามาด้วยท่าทางหดหู่ ไอ้หมอนี่กลับตาเป็นประกายราวกับได้กลับบ้าน มองซ้ายมองขวาไปทั่ว ทันใดนั้นสายตาก็สว่างวาบ พูดอย่างโอหัง “เฮ้ย ไอ้โง่ที่แหงนหน้าอยู่นั่น ไปให้พ้น เขยิบให้กูเดี๋ยวนี้”
เสียงตะโกนนั้นดังก้องไปทั่วสถานีตำรวจที่เงียบสงบ ผู้ต้องขังทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมอง
เติ้งหมิงเจี๋ยรู้สึกได้ถึงสายตามากมายที่จับจ้องมาที่ตน เขาจึงหันไปมองด้วยสีหน้างุนงง
“มองอะไร? กูพูดถึงมึงนั่นแหละ! ” ชายหัวโล้นกระตุกกล้ามแก้ม ยิ้มอย่างดุร้ายพลางพูด “กูเข้าออกที่นี่มา 5 ครั้งแล้ว ตรงนั้นเป็นที่ประจำของกู กูให้เวลามึง 3 วินาที ไปให้พ้น ไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เกรงใจ”
“สาม! ”
“สอง! ”
“หนึ่ง! ”
เสียงนับดังขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน ร่างกายของเขานิ่งราวกับถูกตะปูตอกเอาไว้ ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ช่างน่าขายหน้าเสียจริง! ตั้งใจจะเลือกคนที่ดูอ่อนแอ ง่ายต่อการจัดการ เพื่อสร้างความน่าเกรงขาม ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอกับคนประเภทนี้ สีหน้าของชายหัวโล้นนั้นดูไม่ได้ เขาโกรธจนตัวสั่น ก่อนจะตะโกนด่าออกมาว่า
“แม่งเอ๊ย! หูหนวกหรือไงวะ ถึงกล้าเมินคำสั่งกู! ”
เขาเดินเข้าไปหา ยกขาขึ้นแล้วเตะออกไปเต็มแรง!
ผลั่ก!
เติ้งหมิงเจี๋ยไม่ได้เตรียมตัวรับแรงกระแทก จึงถูกเตะเข้าที่หน้าอกอย่างจัง แรงกระแทกนั้นส่งผลให้เขากระเด็นไปชนกับกำแพง
“แค่ก… แค่ก”
เติ้งหมิงเจี๋ยแสดงสีหน้าเจ็บปวด เขานอนกุมท้องไอออกมาอย่างหนัก หลายวันที่ไม่ได้กินอะไรทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงอย่างมาก ราวกับมันทำจากกระดาษ
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” ชายหัวโล้นถุยน้ำลายใส่หน้าของเขา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม
หลังจากที่ได้แสดงพลังออกมา นักโทษคนอื่น ๆ ต่างมองเขาด้วยความหวาดกลัว ทั้งหมดเผลอกระถดถอยหลัง เปิดพื้นที่ว่างให้กับเขามากขึ้น
ชายหัวโล้นหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะนอนลงอย่างสบายอารมณ์ ฮัมเพลงเบาๆ ออกมาราวกับว่าการมาที่ห้องขังนี้เป็นเพียงการมาท่องเที่ยว
ที่นี่คือสถานที่รวมตัวของความชั่วร้าย ไม่มีใครสนใจจะสงสารเติ้งหมิงเจี๋ยที่ถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรม โดนน้ำลายสกปรกกระทบเปื้อนใบหน้า ทว่าในจังหวะนั้น ดวงตาที่เคยไร้ชีวิตชีวากลับเปล่งประกายบางอย่างออกมา
เขาพยุงตัวเองขึ้นโดยใช้กำแพงเป็นแหล่งเอนยึด การเคลื่อนไหวช้าลง แต่กลับมีบรรยากาศบางอย่างที่อธิบายได้ไม่ถูก ราวกับหมาป่าบาดเจ็บที่กำลังเลียแผลตัวเอง…
เขายืนตัวตรง ใช้มือปาดน้ำลายบนใบหน้าออก ก่อนจะเปิดปากหัวเราะออกมาท่ามกลางเงียบงัน ฉากนี้ทั้งน่าขนลุกและน่ากลัว ทุกคนที่เห็นต่างรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง
เขาหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวเท้า เดินช้า ๆ ไปหาชายหัวโล้นที่นอนฮัมเพลงอยู่บนพื้น
ชายหัวโล้นไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา ที่จริงแล้วเขาถูกจ้างมาเพื่อรับโทษแทนนายจ้าง เขาแค่ต้องทำบางสิ่งบางอย่าง หลังจากนั้นก็จะได้รับการปล่อยตัว พร้อมกับเงินก้อนโตและการเดินทางที่แสนสุขสันต์ซึ่งกำลังรออยู่
ในขณะที่ชายหัวโล้นกำลังจินตนาการถึงชีวิตหลังจากนี้ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ เมื่อเปิดตาขึ้น ยังไม่ทันได้ป้องกันตัว อีกฝ่ายก็พุ่งเข้าใส่เขาแล้ว
พูดตามตรง ชายหัวโล้นไม่กลัวการต่อสู้ระยะประชิด ด้วยความได้เปรียบด้านร่างกาย เขามักจะเป็นฝ่ายรุกเข้าหาต่อสู้กับศัตรูในระยะใกล้เสมอ
แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ชายหัวโล้นรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เผชิญหน้ากับมนุษย์ แต่เป็นหมาบ้าที่กำลังคลุ้มคลั่ง
เป้าหมายของอีกฝ่ายชัดเจน เล็งไปที่จุดสำคัญอย่างดวงตาและจมูก ทั้งจิกทั้งข่วน ทำแม้กระทั่งการกัดด้วยปาก
ชายหัวโล้นเป็นมือเก่ารุ่นเก๋าเรื่องชกต่อย จึงใช้แรงทั้งหมดที่มีเหวี่ยงหมัดเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายทันที
ปกติแล้วคู่ต่อสู้คนก่อน ๆ พอโดนเข้าที่จุดนี้ล้วนต้องกุมท้องและถอยห่าง หรืออย่างแย่สุดก็คือหมดแรงสู้ต่อทั้งนั้น
แต่ไอ้บ้านี่มันเหมือนกับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ ไม่ว่าเขาจะออกแรงชกเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยังบุกโจมตีจุดสำคัญไม่หยุดหย่อน
มีคำกล่าวเคยกล่าวไว้ว่า… คนโอหังมักกลัวคนโง่ ส่วนคนโง่เขลามักกลัวคนจนตรอก
ชายหัวโล้นโดนจิ้มเข้าที่ตาหลายครั้ง สุดท้ายจึงกลัวและยอมแพ้ ยกมือขึ้นป้องใบหน้าและร้องตะโกน “ตำรวจช่วยด้วย ฉันจะโดนฆ่าแล้ว”
เมื่อตำรวจมาถึงและช่วยแยกชายหัวโล้นออกมาได้ ลูกตาข้างหนึ่งของเขาก็ถูกควักออกมาแล้ว ส่วนหูก็ถูกกัดหายไปครึ่งหนึ่ง สภาพน่าสยดสยองจนทุกคนขนลุก
เติ้งหมิงเจี๋ยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดหัวเราะออกมาเหมือนคนเสียสติ
“ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้ว! ”
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของทุกคนพร้อม ๆ กัน
ตำรวจนำตัวชายหัวโล้นส่งโรงพยาบาล และกักตัวเขาไว้ในห้องขังเดี่ยว
MANGA DISCUSSION