บทที่ 130 ปัญหาชื่อเสียง
จางเหวินฉีมองดูเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม เธอเอื้อมมือไปเคาะหน้าผากของเขาอย่างหมั่นเขี้ยว “เอาล่ะ ฉันเตรียมของขวัญไว้ให้เธอแล้ว ถือว่าเป็นการชดเชยก็แล้วกัน”
“ของขวัญ? ของขวัญอะไรเหรอ? ”
“ไม่บอก เดี๋ยวเธอก็รู้เอง” จางเหวินฉีแกล้งทำเป็นปกปิดมีความลับ จงใจยั่วเขาเล่น
หลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งคืน ทั้งสองก็ล้าเต็มทน จึงพูดคุยกันอีกเล็กน้อย แล้วแยกย้ายกันกลับห้องเพื่อไปนอนหลับพักผ่อน
จนกระทั่งเติ้งหมิงเจี๋ยกับกลุ่มของหม่ารุ่ยตื่นขึ้น และเห็นว่าพวกตนกำลังอยู่ในห้องขังและมีตำรวจอยู่เบื้องหน้า ทั้งหมดก็ถึงกับตาค้างไปเลย
ในขณะที่พวกเขากำลังรอรับการฟ้องร้องจากกฎหมาย ทั้งเมืองกว่างหนานก็แทบจะถล่มทลาย ทุกคนต่างโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ลงในโซเชียลมีเดียกันอย่างบ้าคลั่ง
ช่วงนี้บริษัทภาพยนตร์เหอกำลังคึกคักเป็นพิเศษ หลายคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ว่ากาสร้างละครเกี่ยวกับการแย่งชิงมรดกของตระกูลที่ร่ำรวยอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะคราวนี้พวกเขากำลังได้ชมของจริงกันจะ ๆ
เรื่องนี้เป็นไปตามที่เหอหย่งฝูคาดการณ์ไว้ ในเมื่อตอนนั้นเขาเลือกที่จะแจ้งตำรวจ เขาก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้สามารถถูกปิดบังเอาไว้ได้
และในฐานะที่เป็นหนึ่งในตัวละครหลักของเรื่องนี้ เหอเจ๋อจึงกลายเป็นเป้าหมายที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก มีคนพาลที่อิจฉาความสำเร็จอย่างรวดเร็วของเขาแอบปล่อยข่าวลือลับหลังมากมาย บ้างบอกว่าเขาต้องการที่จะสืบทอดบริษัทภาพยนตร์เหอ จึงยุยงให้เหอหย่งฝูกับน้องสาวแตกคอกัน
ทฤษฎีสมคบคิดแบบนี้ตรงกับความรู้สึกต่อต้านคนรวยที่กำลังเป็นกระแสนิยมในปัจจุบัน ประกอบกับมีคนบางกลุ่มตั้งใจยุยงส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง ทิศทางของความคิดเห็นของประชาชนจึงเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี
แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ขนาดเล็กก็ยังพาดหัวข่าวว่า ‘คนชั่วที่สวมหน้ากากวีรบุรุษ? ’ โดยเฉพาะเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คน
เหอเจ๋อจากที่เคยเป็นผู้วิเศษทางการแพทย์ที่ได้รับความสนใจ วีรบุรุษผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ในพริบตากลับตกต่ำกลายเป็นคนเลวทราม
เหอหย่งฝูออกมาชี้แจงหลายครั้งในที่สาธารณะ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งความสงสัยของผู้คนได้ ชั่วขณะหนึ่งข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วเมือง แม้แต่ภายในบริษัทภาพยนตร์เหอก็ยังมองว่าคุณชายน้อยคนนี้ไม่ดี
หลังอาหารเย็นวันนี้ เหอหย่งฝูจึงพาเหอเจ๋อมาที่ห้องหนังสือ
แต่เขาไม่ได้พูดตรง ๆ เหมือนอย่างเคย กลับพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “เสี่ยวเจ๋อ อย่าไปใส่ใจกับข่าวลือพวกนั้นเลย ความจริงแล้วทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ ลูกเป็นคนที่มีคุณูปการมากที่สุดในเรื่องนี้ ไม่คิดเลยว่านี่จะทำให้ลูกต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียง”
เหอเจ๋อส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจแล้วยิ้ม “พ่อครับ ชื่อเสียงเป็นสิ่งไม่สำคัญสำหรับผม ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ ผมไม่สนใจ”
เหอหย่งฝูรู้สึกโล่งใจจึงพยักหน้า พูดด้วยความยินดี “ลูกคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว ชายชาตรีได้รับคำชมมากแค่ไหน ก็ต้องทนรับคำดูถูกให้ได้มากเท่านั้น”
หลังจากพูดจบ เขาก็เริ่ม ‘สอน’ บุตรชายอย่างกระตือรือร้น
ในเวลาเดียวกัน ณ อาคารสำนักงานของบริษัทภาพยนต์เหอ แม้กาลเวลาจะย่างเข้ายามค่ำคืนเข้าไปแล้ว แต่ภายในห้องทำงานของผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปกลับยังคงสว่างไสว
จางเหวินฉีวางปากกาในมือลง บิดขี้เกียจพร้อมกับหาวออกมาเบา ๆ “ในที่สุดก็เสร็จสักที ทำให้คุณรอนานเลยนักข่าวหลิว”
บนโซฟาในห้องทำงานมีชายหนุ่มรูปร่างผอมบางสวมแว่นตาขอบทองนั่งอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างนอบน้อม “คุณผู้จัดการจาง ผมแวะมาที่นี่เพื่อรายงานความคืบหน้าเรื่องที่คุณมอบหมายให้พวกเราทำ ว่าเรื่องทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ สื่อกระแสหลักทั้งหมดต่างโจมตีเหอเจ๋อ ตอนนี้เขาชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วแล้ว”
ทำงานกว้างใหญ่เงียบสงัดราวกับหากมีเข็มหล่นลงพื้นคงได้ยินกันทั่ว ซึ่งในสถานการณ์นี้คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ผู้อยู่เบื้องหลังคอยชักใยให้สื่อใส่ร้ายเหอเจ๋อนั้น แท้จริงแล้วคือจางเหวินฉี
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจางเหวินฉีก็พูดขึ้นอย่างไม่ยี่หระ “คุณทำได้ดีและฉันพอใจมาก เงินค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ พวกคุณจะได้ครบทุกสตางค์ กลับไปเถอะ”
หลิวตงกล่าวขอบคุณด้วยความตื่นเต้นสองสามประโยค ก่อนลุกขึ้นและเปิดประตูออกไป
จางเหวินฉีนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน จ้องมองเพดานอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นกดหมายเลขหนึ่ง และพูดสั้น ๆ ให้ปลายสายฟังว่า “เริ่มแผนขั้นที่สอง”
รุ่งเช้าวันต่อมา หลาย ๆ คนที่ไม่มีนิสัยชอบอ่านหนังสือพิมพ์ต่างพากันหาซื้อมันเพื่อติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับเหอเจ๋อ เผื่อจะได้มีเรื่องคุยในวงสนทนากับเขาบ้าง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือนอกจากหนังสือพิมพ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่กี่ฉบับแล้ว สื่อกระแสหลักล้วนต่างพากันเปลี่ยนสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์ Southern Metropolis ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีอิทธิพลอย่างมากในภูมิภาคทางใต้ เพราะหนังสือพิมพ์นี้ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง “เหอเจ๋อในมุมมองของฉัน” ออกมา
นักข่าวหญิงชื่อกวนหลิงได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอได้รู้จักกับเหอเจ๋อ และโต้แย้งคำใส่ร้ายต่าง ๆ ที่แพร่สะพัดอยู่ในวงสังคม รวมถึงรายงานความดีความงามก่อนหน้านี้ออกมาพร้อมหลักฐานอ้างอิงชัดเจน จนทำให้ผู้คนอดคล้อยตามไม่ได้
ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสน แพทย์ผู้มีชื่อเสียงในเมืองกว่างหนาน หวงเทียนเหยาก็ได้ร่วมมือกับแพทย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน ออกมาให้การรับรองความสามารถทางการแพทย์ของเหอเจ๋อ
ด้วยเหตุนี้ภายในเวลาเพียงวันเดียว สถานการณ์จึงพลิกกลับอย่างสิ้นเชิง
จากเรื่องนี้ เหอเจ๋อไม่เพียงสามารถกู้ชื่อเสียงที่เสียหายของตนเองกลับคืนมาได้ แต่หลังจากที่ตกเป็นข่าวครึกโครมชื่อเสียงของเขายังโด่งดังไม่แพ้ดาราดังแถวหน้าของประเทศอีกด้วย ทำให้ทุกคนรู้จัก ‘คุณชายแห่งบริษัทภาพยนต์เหอ’ ผู้มีชีวิตราวกับตำนานคนนี้มากขึ้น
สถานการณ์ที่พลิกผันอย่างคาดเดาไม่ได้ทำให้แม้แต่เหอเจ๋อยังอดขบขันไม่ได้ เขาโทรหากวนหลิง ซึ่งเธอก็พยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่สุดท้ายเมื่อถูกเค้นหนักเข้า เธอจึงยอมปริปากออกมาเล็กน้อย ว่านี่เป็นของขวัญจากใครบางคน
หลังจากได้เบาะแส เหอเจ๋อก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเข้าใจได้ในทันที จึงลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ เดินไปเคาะประตูห้องของจางเหวินฉี
“ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
“พี่เองก็ยังไม่นอนเหมือนกัน”
ทั้งสองคนสบตากันและยิ้ม จางเหวินฉีขยับตัวเชิญเขาเข้าไปด้านใน
เหอหย่งฝูรักและเอ็นดูลูกสาวบุญธรรมคนนี้ไม่ต่างจากลูกแท้ ๆ เห็นได้จากห้องนอนของเธอ เป็นห้องชุด 2 ห้องเชื่อมต่อกัน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนเป็นของหรูหราราคาแพง
เพียงแต่ที่น่าแปลกใจคือในห้องไม่มีตุ๊กตาหรือโปสเตอร์น่ารัก ๆ อย่างที่ควรจะมีในห้องนอนของเด็กผู้หญิงสักชิ้น ของส่วนใหญ่กลับเป็นหนังสือ นอกจากโซฟาสองตัวที่อยู่ใกล้ประตูและโต๊ะเขียนหนังสือแล้ว ผนังโดยรอบล้วนเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือ
หลังจากที่เหอเจ๋อเดินเข้ามา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงและอุทานออกมา “ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองเป็นคนอ่านหนังสือเยอะพอสมควรแล้ว แต่พอมาเจอพี่เหวินฉี ผมเทียบไม่ได้แม้แต่เสี้ยวหนึ่ง”
“ถ้าคนเราปล่อยให้ตัวเองว่างจนเกินไป ก็ต้องหาอะไรทำแก้เบื่อกันบ้าง”
จางเหวินฉีพูดพลางเอื้อมมือไปวางที่คั่นหนังสือลงบนหน้าที่เธออ่านค้างไว้ ก่อนจะเก็บมันเข้าที่ หญิงสาวถอดรองเท้าแตะที่สวมอยู่แบบไม่ใส่ใจ แล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา แม้จะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเริ่มเย็น แต่เธอก็ยังคงสวมเพียงชุดนอนผ้าไหมบาง ๆ ตัวเดียว เผยให้เห็นสัดส่วนที่งดงามราวกับเทพีสลัก
MANGA DISCUSSION