บทที่ 129 การแข่งขันเล็กๆ
ตำรวจ “เพศ? ”
จางเหวินฉี “หญิง”
ตำรวจ “อายุ? ”
จางเหวินฉี “เกิดปี 1992”
ตำรวจ “สัดส่วน… ”
จางเหวินฉี “มันเกี่ยวอะไรกับคดีเหรอคะ? ”
ตำรวจ “ขอโทษ พูดผิด พูดผิด… งั้นเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังทีสิ… ”
จางเหวินฉีมีวาทศิลป์เป็นเลิศ เธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาอย่างเป็นระบบระเบียบ
ตอนแรกตำรวจทั้ง 2 ก็จดบันทึกอย่างจริงจัง แต่ยิ่งฟังกลับยิ่งรู้สึกแปลก ๆ จนในที่สุดก็ขี้เกียจจด ยกแขนขึ้นมากอดไว้ตรงอก สีหน้าเย้ยหยัน
“พวกคุณไม่ได้จะจดบันทึกเหรอ ทำไมไม่จดล่ะ? ” เหอเจ๋อไม่เข้าใจจึงถามด้วยความสงสัย
ตำรวจทั้ง 2 มองหน้ากัน “เรื่องที่พวกคุณเล่ามันเหลือเชื่อเกินไป พวกเรารู้สึกเหมือนกำลังฟังนิทาน ถ้ารายงานออกไปให้คนนอกเห็น พวกเขาคงคิดว่าเราเป็นพวกโง่”
“แต่มันคือเรื่องจริงนี่คะ” จางเหวินฉีเบ้ปาก พูดอย่างไม่พอใจ
เหล่าตำรวจหัวเราะลั่น ชี้ไปที่เหอเจ๋อแล้วพูด “ดูเขาสิ เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ สามารถปรุงยาทำให้คนได้กลิ่นร่างกายอ่อนแรงไม่พอ ยังสามารถแย่งปืนแล้วใช้มือเปล่าต่อยคนจนสลบได้อีกต่างหาก คุณลองเอาเรื่องนี้ไปถามคนตามถนนสิ คิดว่าพวกเขาจะตอบกลับมาว่าเชื่อไหมล่ะ? ”
จางเหวินฉีโกรธทันทีที่ได้ยิน เพราะยามทุกข์ยากคนเรามักเห็นความจริงใจ เหอเจ๋อยอมเสียสละศักดิ์ศรีเพื่อปกป้องความปลอดภัยของเธอ เขากลายเป็นคนที่สำคัญที่สุดในใจเธอไปแล้ว แล้วแบบนี้เธอจะยอมให้คนอื่นมาดูถูกเขาได้อย่างไร
หญิงสาวขมวดคิ้วกำลังจะโต้เถียง เหอเจ๋อกลับพูดขึ้นก่อน “ในเมื่อพวกคุณตำรวจไม่เชื่อ พูดไปก็เท่านั้น งั้นเรามาแข่งขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ดีกว่า ถ้าผมชนะ จะได้เลิกสงสัยเรื่องพวกนี้เสียที”
“แข่ง? ”
“ใช่ และเพื่อไม่ให้เสียความรู้สึก เรามาแข่งงัดข้อกันดีไหม? ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่างัดข้อ ตำรวจทั้ง 2 ก็หัวเราะ ตำรวจคนอื่น ๆ ที่กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บหลักฐานและถ่ายรูปต่างหันมามองทางนี้
“น้องชาย ฉันว่านายเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีกว่านะ พี่หม่าเขาน่ะเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษมาก่อน แถมยังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก แรงแขนไม่ธรรมดาเลย ขนาดนักกีฬายกน้ำหนักระดับจังหวัดยังไม่ใช่คู่มือเขา ฉันว่านายอย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า”
ตำรวจซึ่งทำหน้าที่จดบันทึกทางซ้ายมือชี้ไปที่เพื่อนร่วมงานร่างกำยำ
“พวกเรามาจากสถานีตำรวจที่ไม่เหมือนสถานีตำรวจทั่วไป คนที่มาในวันนี้ล้วนเป็นคนจากสถานีตำรวจประจำเมือง เป็นผู้รับผิดชอบความสงบสุขของทั้งเมืองกว่างหนาน ข้างในจึงเต็มไปด้วยยอดฝีมือ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรหรอก”
หลังจากที่เขาเตือน เหอเจ๋อจึงสังเกตเห็นว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ ใต้เครื่องแบบตำรวจที่หลวมโคร่งคือกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง แม้จะไม่ได้ดูเกินจริงเหมือนนักเพาะกาย แต่นี่คือสิ่งที่ถูกขัดเกลาจากการต่อสู้จริง ๆ ไม่ใช่จากอุปกรณ์เครื่องมือออกกำลังกาย มันแข็งแกร่งกว่าการปั้นเอาหลายเท่า
หม่าเฉียงเห็นเขาจ้องมองมา จึงเหยียดแขนออกเพื่ออวดกล้ามเนื้อ
“ไม่เปลี่ยนแล้ว งั้นมางัดข้อกันเลย ฉันชอบท้าทายกับคนแข็งแกร่ง”
ความตรงไปตรงมาของเหอเจ๋อทำให้หลาย ๆ คนประหลาดใจ เพราะความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่สิ่งที่ทุก ๆ คนจะมี
“ดี งั้นเรามาลองกันหน่อย”
หม่าเฉียงยกโต๊ะตัวหนึ่งขึ้น พับแขนเสื้อ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ มองแล้วให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง
เหอเจ๋อไม่มีทางหนีอยู่แล้ว จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา และเมื่อเทียบกับหม่าเฉียงแล้ว เขาดูด้อยกว่ามาก
การดูเรื่องสนุกเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีการออกปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ทำให้ทุกคนหวาดกลัวเคร่งเครียดอยู่ลึก ๆ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องรื่นเริงไปได้
การแข่งขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายแบบนี้สามารถบรรเทาความกดดันในใจของทุกคนได้ ถือเป็นเรื่องดี
ชื่อเสียงของหม่าเฉียงในวงการตำรวจโด่งดังระบือไกล ไปที่ไหนใคร ๆ ก็รู้จัก ดังนั้นทุกคนจึงต่างมองเขาในแง่ดี
ในทางกลับกัน เหอเจ๋อที่ไม่ค่อยแสดงออกกลับไม่มีใครสนใจ แต่ก็มีตำรวจรุ่นเก่าที่ผ่านคดีอาชญากรรมมานานหลายปีบางรายนึกไปถึงกลุ่มคนร้ายที่นอนสลบเรียงรายอยู่บนพื้น และอยากจะดูให้เห็นกับตาว่าอะไรเป็นอะไร
นี่เป็นเพียงการประลองเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย หลังจากทั้งสองฝ่ายนั่งประจันหน้ากันแล้ว ก็วางแขนแนบชิดกันและเริ่มออกแรง
หม่าเฉียงไม่ทำให้ชื่อเสียงของเขาต้องมัวหมอง เมื่อเริ่มต้นก็ใช้กำลังทั้งหมดและได้เปรียบอย่างมาก สามารถกดแขนของเหอเจ๋อลงไปได้กว่าครึ่ง
ตัดสินแพ้ชนะกันได้รวดเร็วขนาดนี้ ผู้ชมต่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะมันเหมือนกับที่พวกเขาคาดเดาไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มแข่งขันแล้ว
ทว่าในจังหวะที่ทุกคนคิดว่าตนเองทราบผลแพ้ชนะแล้ว และกำลังหันกลับไปทำงานต่อ เสียงใสกังวานใสเสียงหนึ่งกลับดังขึ้น
“คุณตำรวจ ระวังด้วยนะ ฉันจะโต้กลับแล้ว”
ทุกคนมองไปที่เหอเจ๋อด้วยสีหน้าตกตะลึง พวกเขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคนที่เสียเปรียบอย่างชัดเจนแบบเขาถึงยังกล้าเตือนคู่ต่อสู้ได้
คนวงนอกรับชมเพียงเพราะต้องการความสนุก แต่คนวงในกลับดูสถานการณ์ออก
หม่าเฉียงได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนร่วมงาน ในใจรู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ในคราวเดียว เขาก็รู้ว่าคนหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ต่อกรได้ง่าย และเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาอย่างสบาย ๆ เขายิ่งรู้สึกสิ้นหวัง
เขาทุ่มใช้แรงทั้งหมดที่มีลงไปแล้ว แต่อีกฝ่ายยังสามารถพูดจ้อได้อย่างคล่องแคล่ว ความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย
แน่นอนว่าพอเหอเจ๋อพูดจบก็เริ่มโต้กลับทันที ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ และกดมือของหม่าเฉียงลงบนโต๊ะได้ตรง ๆ
“ขอบคุณที่ยอมให้”
เหอเจ๋อดึงแขนกลับ หันหลังไปจูงมือจางเหวินฉีแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เหล่าตำรวจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีใครคาดเดาว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หม่าเฉียงถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดายพลางกล่าว “ในป่าลึกมีเสือซุ่มซ่อน ในทุ่งนามีกิเลนแอบอยู่ เรื่องวันนี้ถือเป็นบทเรียนให้พวกเราทุกคน ต่อไประหว่างสืบสวนคดีต้องไม่ประมาทเด็ดขาด”
ตำรวจทั้งหลายมีสีหน้าซับซ้อน พร้อมใจกันรับคำ
“เสี่ยวเจ๋อ เธอเก่งจังเลย แรงมือเยอะมาก”
พอออกมาแล้วจางเหวินฉีก็ไม่อาจระงับความอยากรู้ในใจได้ ดวงตาของเธอมองสำรวจเหอเจ๋อตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถามขึ้น
เหอเจ๋อหัวเราะฮ่า ๆ “นี่เป็นความดีความชอบของแม่ทั้งนั้น”
หลังจากผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มา จางเหวินฉีก็กลืนเข้ากับครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์ ไม่คิดอีกต่อไปว่าตัวเองเป็นคนนอก เธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเฟิ่งเฟยเฟยที่ไม่เคยพบหน้า จึงรบเร้าถามเหอเจ๋อไม่หยุด
เหอเจ๋อเองก็เล่าประสบการณ์ของการ ‘ถูกตี’ ตั้งแต่เด็กจนโตให้เธอฟัง
จางเหวินฉีฟังแล้วตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง เธอคิดว่าตัวเองที่เสียพ่อแม่ไปว่าน่าเวทนามากแล้ว ไม่คิดเลยว่าเหอเจ๋อจะ ‘น่าสงสาร’ ยิ่งกว่า ในใจของหญิงสาวเกิดความสงสารขึ้นมา จึงตบไหล่เขาเบา ๆ พลางถอนหายใจ
“เสี่ยวเจ๋อ เธอลำบากมามากจริง ๆ พอฟังแบบนี้แล้ว ฉันที่อยู่กับพ่อที่นี่เหมือนใช้ชีวิตอย่างกับเทพเจ้า”
เหอเจ๋อแกล้งตีหน้าเศร้า ทำท่าทางน่าสงสาร
MANGA DISCUSSION