บทที่ 128 วิกฤตจบลง
ห้องทั้งเงียบสงัดลงในทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจของเติ้งเฉิงชาง เขารู้สึกอิ่มเอมใจมาก ต่อให้ได้ดื่มน้ำทิพย์มากกว่านี้เป็นร้อยเท่าก็ยังเทียบเคียงกับความรู้สึก ณ เวลานี้ไม่ได้ จึงพูดอย่างลืมตัวว่า “ฮ่า ๆ ไอ้ลูกเมียน้อย ไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันนี้สินะ เชื่อฟังดี ๆ คุกเข่าต่อหน้าฉันเหมือนหมาซะ! ”
เหอหย่งฝูน้ำตาไหลพราก ลูกคือเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่ ไม่ว่าใครย่อมเจ็บปวดใจกันทั้งนั้น
จางเหวินฉีที่สูญเสียพ่อแม่และเติบโตมาอย่างยากลำบากมาท่ามกลางสายตาเย็นชาของคนอื่น ถึงกับร้องไห้ออกมาเป็นครั้งแรกในชีวิต เธอคิดว่าโลกนี้ทอดทิ้งตัวเอง แต่ไม่คิดเลยว่าในยามเธอสิ้นหวังที่สุด สวรรค์กลับยังเมตตาเธออยู่
“แกพอใจแล้วใช่ไหม? รีบปล่อยคนเดี๋ยวนี้! ”
เหอเจ๋อพูดเสียงเย็นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ดวงตาของเติ้งเฉิงชางวาบขึ้นด้วยแววเจ้าเล่ห์ เขาหัวเราะอย่างประหลาด “ปล่อยคน? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”
เหอหย่งฝูที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงตวาดด้วยความโกรธ “เติ้งเฉิงชาง อย่าทำตัวไร้ยางอายเสียหน่อยเลย! ”
“คนใจแคบไม่ใช่คนดี คนไม่มีพิษสงก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย” เติ้งเฉิงชางหัวเราะเยาะ ยกปืนขึ้นจ่อเหอเจ๋อ พูดด้วยรอยยิ้มอำมหิต “แกนี่โง่จริง ๆ คิดว่าฉันจะปล่อยให้แกรอดชีวิตไปงั้นเหรอ? น่าขันชะมัด! ฉันแค่อยากให้แกตายอย่างเจ็บปวดและอับอายเท่านั้นแหละ”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของเขาต่างรู้สึกหนาวสะท้าน ไม่คิดว่าความโหดร้ายของคนคนนี้จะเหนือชั้นกว่าพ่อของเขาเสียอีก
เติ้งเฉิงชางไม่สนใจความคิดของคนที่กำลังจะตายพวกนี้ เขาเล็งปืนไปที่เหอเจ๋อ ยิ้มอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะเหนี่ยวไกปืน
ปัง!
เหอหย่งฝูหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ความเจ็บปวดที่สุดอย่างหนึ่งของโลกคือการที่พ่อแม่ต้องส่งลูกตัวเองลงหลุม เขาตามหาลูกมากว่ายี่สิบปี แต่ไม่คิดเลยว่าเพิ่งได้อยู่พร้อมหน้ากันไม่กี่วัน กลับต้องพรากจากกันชั่วนิรันดร์เสียแล้ว
โชคชะตาช่างโหดร้ายกับเขาเหลือเกิน
แต่ในชั่วพริบตานั้น
ทันทีที่เติ้งเฉิงชางเหนี่ยวไก เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หว่างขาราวกับถูกฉีก ทำให้ตัวสั่นไปทั้งร่าง แขนเบี่ยงไปเล็กน้อย กระสุนจึงพลาดเป้าและไม่โดนเหอเจ๋อ
ในยามคับขัน คนเรามักจะแสดงพลังที่เหนือความคาดหมายออกมา เหอเจ๋อก็เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยิงพลาด ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย เหมือนเสือดุร้ายที่หลุดออกจากกรง รีบพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เติ้งเฉิงชางรู้ตัวว่ามันมีสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล จึงพยายามปรับท่าเพื่อเล็งใหม่ แต่สายไปเสียแล้ว หมัดใหญ่ ๆ ได้ฟาดเข้าที่หน้าของเขาเต็ม ๆ
เหอหย่งฝูหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาจึงลืมตาขึ้นมอง และต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น
เติ้งเฉิงชางที่เมื่อครู่ยังคุยโวโอ้อวด ตอนนี้นอนจมกลิ้งอยู่กับพื้นด้วยใบหน้าบวมปูดเขียว ดูช้ำชอกเหมือนหมากำลังจะตาย
เหอเจ๋อที่หมดสภาพทรุดตัวลงนั่งกับพื้น หอบหายใจแรง แม้กระสุนจะไม่ถูกเขา แต่มันก็ทำให้เขาตกใจจนหัวใจแทบวาย
ส่วนเติ้งหมิงเจี๋ยที่กัดฟันรั้งสติตัวเองไม่ให้หมดไปเพราะยังมีความหวังริบหรี่ เมื่อเห็นฉากนี้ก็สบถออกมาว่า “เติ้งเฉิงชาง แกมันโง่! ”
พอพูดจบเขาก็ทนต่อไปไม่ไหว หมดสติตามไป
เหอเจ๋อหายใจหอบเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นยืนเพื่อช่วยจางเหวินฉีแก้เชือก มุมตาเหลือบไปเห็นแววตาฉงนสงสัยของเหอหย่งฝู จึงอธิบายขึ้น “พ่อครับ เมื่อกี้ต้องขอบคุณพี่เหวินฉี เธอผลักไอ้โง่นั่นออกไปได้ในวินาทีสุดท้าย ผมถึงไม่โดนยิง เลยมีโอกาสจัดการเขาได้อย่างที่เห็น”
เพียงนึกถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญตอนนั้น ใจของเขาก็ยังสั่น เพราะถ้าเมื่อครู่จางเหวินฉีช้าไปเพียงวินาทีเดียว เขาคงต้องไปรายงานตัวที่ปรโลก เดินทางผ่านประตูผีแล้วจริง ๆ
จางเหวินฉีนวดข้อมือที่แดงก่ำเพราะเชือกมัด รู้สึกขอบคุณ “ไม่หรอก นายต่างหากที่เป็นวีรบุรุษ นายเปิดโปงแผนชั่วของหมาป่าตาขาวพวกนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะแย่แน่”
เหอเจ๋ออ้าปากกำลังจะพูด แต่ถูกเหอหย่งฝูขัดจังหวะ ที่พอรอดตายมาได้ อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาก ใบหน้าจึงผ่อนคลาย “พวกเธอทำได้ดีแล้ว อย่าถ่อมตัวกันนักเลย มีแต่คนแก่ ๆ อย่างพ่อที่ไม่ได้ทำอะไรเลย น่าอับอายจริง ๆ ”
เหอเจ๋อสบตากับจางเหวินฉี ทั้งสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายมา ฟ้าก็สางพอดี ดวงอาทิตย์ส่องแสงทะลุเส้นขอบฟ้ามา ขับไล่ความมืดมิดทั้งหมดออกไป นำความเจิดจ้าอบอุ่นกลับมาสู่ผืนดินอีกครั้ง
แม้วิกฤตจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังต้องจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เสร็จสิ้น
พอมองดูคนจำนวนมากที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น เหอหย่งฝูก็ขมวคิ้วแล้วถาม “เจ้าพวกนี้จะตื่นเมื่อไหร่? ”
เหอเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพราะด้วยความต้องการมั่นใจว่าแผนจะสำเร็จ เขาจึงลงทุนใส่ชนิดเต็มเม็ด ใช้สูตรยาหายากซึ่งพบในตำราโบราณ ซึ่งนอกจากวัตถุดิบจะแพงแล้ว ปริมาณที่ปรุงออกมาได้ยังไม่มาก จึงเพียงพอที่จะฉีดไปทั่วห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เติ้งเฉิงชางและจางเหวินฉีที่อยู่นอกห้องจึงไม่โดนพิษ และยังคงมีสติอยู่
“ผมก็บอกเวลาแน่นอนไม่ได้ เพราะต้องดูกำลังกายและสภาพจิตใจของแต่ละคน แต่ไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมงแน่นอน”
เหอหย่งฝูโล่งใจ แต่จะจัดการกับคนพวกนี้อย่างไร เขากลับลำบากใจ เพราะในกลุ่มคนพวกนั้นมีเหอซู่โหรว น้องสาวแท้ ๆ ของเขาสายเลือดเดียวกันที่ตัดไม่ขาดอยู่ด้วย
จางเหวินฉีอยู่เคียงข้างเขามานับทศวรรษ เมื่อเห็นเขาครุ่นคิดเงียบ ๆ ก็รู้ใจจึงเสนอ “พ่อคะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เติ้งหมิงเจี๋ยคิดคดทรยศ ไม่ควรปล่อยไปง่าย ๆ เราแจ้งตำรวจกันเถอะค่ะ ดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนอาซู่โหรว… หนูคิดว่าอาแค่ถูกหลอก ไม่ใช่หัวโจกตัวต้นคิด ไม่น่าจะมีอะไรมาก”
เหอหย่งฝูถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า แม้ในวินาทีสุดท้ายจะพลิกวิกฤตเป็นความปลอดภัย แต่การที่คนในครอบครัวหันมาทำร้ายกันเอง ก็ยังทำให้ชายชราที่ให้ความสำคัญกับความรักในครอบครัวคนนี้รู้สึกไม่ดี
“ทำก็ตามนั้นก็แล้วกัน”
จางเหวินฉีโทรแจ้งตำรวจ และการที่คนของบริษัทภาพยนตร์เหอถูกทำร้ายไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่นานตำรวจจึงมาถึงที่เกิดเหตุ
ใจนึกไว้แล้วว่าต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่กลับเห็นกลุ่มคนร้ายนอนเรียงรายอยู่บนพื้น เหล่ารุ่นเก๋าที่มีประสบการณ์โชกโชนจึงรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
แต่การจับคนร้ายได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว หลังจากใส่กุญแจมือให้กับกลุ่มคนร้ายที่หมดสติและนำขึ้นรถไป ตำรวจวัยกลางคน 2 นายจึงเดินถือกระดาษและปากกาเข้ามาเพื่อบันทึกการให้ปากคำ
คดีนี้ค่อนข้างร้ายแรง คนที่มาเป็นตำรวจจากสถานีตำรวจ ไม่ใช่โอวเทียนเหิงที่คุ้นเคย
เหอหย่งฝูอายุมากแล้ว ประกอบกับเหตุการณ์ร้ายแรงที่เพิ่งเกิดขึ้น สุดท้ายเขาจึงหมดแรงและสิ้นสติไป เรื่องบันทึกปากคำจึงเป็นหน้าที่ของ เหอเจ๋อและจางเหวินฉี
MANGA DISCUSSION