บทที่ 124 ยอมเสี่ยง
หลายวันที่ผ่านมาเมืองกว่างหนานต้องเผชิญกับฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง เสียงฝนพรำ ๆ กลายเป็นเสียงที่ผู้คนมักได้ยินอยู่เสมอ จนกระทั่งคืนนี้ ในที่สุดฝนก็หยุดตกเสียที
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด เมฆดำเคลื่อนหายลับไปอย่างรวดเร็ว แสงจันทร์ส่องสว่างลงมาบนพื้นดิน เจิดจ้าราวกับเป็นเวลากลางวัน แทรกลึกเข้าไปในความมืดที่ซ่อนอยู่ในที่ลับ
ที่ ๆ ไม่มีใครสังเกตเห็น
หน้าประตูวิลล่าของตระกูลเหอ มีชายฉกรรจ์หกคนปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พวกเขาทุกคนล้วนสวมเสื้อกล้ามและกางเกงสีดำ ยืนตัวตรงแนบกำแพงราวกับวิญญาณ หากไม่ใช่เพราะแสงจันทร์ที่ส่องสว่างขึ้นกะทันหัน คนสายตาไม่ดีคงมองไม่เห็นพวกเขาอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นก็มีเงารูปร่างลึกลับเดินออกมาจากวิลล่าของตระกูลเหอ
“ระวัง! ”
ชายชุดดำที่ยืนพิงกำแพงเกร็งร่างขึ้นตั้งตรงทันที มือทั้งสองข้างล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความระมัดระวัง
“พี่หม่ารุย ผมเอง มารอนานแล้วเหรอครับ”
เติ้งหมิงเจี๋ยโผล่หัวออกมาจากความมืด บนใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้มประจบประแจง
ชายร่างกำยำขนดกเดินออกมาจากกลุ่มชายชุดดำ มองจากระยะไกล ๆ ดูไม่ต่างอะไรไปจากลิงกอริลล่าเลย
เขาเหลือบมองเติ้งหมิงเจี๋ยที่มีท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนพูดด้วยภาษาจีนกลางสำเนียงแปลก ๆ อย่างไม่สบอารมณ์ว่า “จัดการเมียจอมจุกจิกของแกเรียบร้อยแล้วหรือยัง? ถ้าไม่ก็อย่าเสียแรงเลย ฆ่าเธอแล้วเอาเลือดมาเปิดประตูซะ”
แววตาของเติ้งหมิงเจี๋ยเผยอารมณ์โกรธออกมา แต่เขาก็ดูกลัวชายตรงหน้ามากเช่นกัน จึงพยายามเก็บงำคลื่นโทสะเหล่านั้นเอาไว้ ไม่ได้แสดงมันออกมา ทำเพียงพูดตอบด้วยความเคารพว่า “พี่หม่ารุย ผมเกลี้ยกล่อมซู่โหรวแล้ว เธอตกลงจะเปิดประตูให้พวกเราครับ ตอนนี้เธอรออยู่ข้างในแล้ว”
หม่ารุ่ยยิ้มกว้าง ปลดปล่อยรังสีอำมหิตดุร้ายราวเดรัจฉานออกมา ก่อนหันไปพูดกับคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้น้อง เริ่มงานได้”
ชายชุดดำทั้งห้านำชิ้นส่วนแปลก ๆ มากมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้า ก่อนใช้มือทั้งสองข้างประกอบมันเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ไม่นาน ปืนพกที่วาววับก็ปรากฏขึ้นในมือของพวกเขา
เติ้งหมิงเจี๋ยมองดูภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ
ครั้งหนึ่งระหว่างการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เขามีโอกาสได้รู้จักกับหม่ารุ่ย ผู้บริหารระดับสูงของชื่อไห่
นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขากล้าใช้กำลังและความรุนแรงในสถานการณ์นี้
แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินชื่อเสียงที่น่ากลัวของชื่อไห่มาบ้าง แต่ก็เพิ่งมีโอกาสได้มาเห็นมันกับตาในวันนี้ เขาจึงเข้าใจถึงความน่ากลัวของอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้เสียที
“นี่… พวกนายพกมันมาได้ยังไง? ”
หม่ารุ่ยมองเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาโดยละเอียด ริมฝีปากของเจ้าตัวจึงเหยียดรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เขาต้องการคู่ค้าที่เชื่อฟังไม่ออกนอกลู่นอกทาง และดูเหมือนว่าการข่มขู่ครั้งนี้จะได้ผลดีมาก
“อิทธิพลของชื่อไห่แผ่ขยายไปทั่วโลก แม้แต่ในประเทศจีนก็ยังมีคนของเรา การหาปืนไม่กี่กระบอกเป็นเรื่องง่ายดายมาก”
และมันก็เป็นไปดังคาด ความเคารพถูกจุดขึ้นมาบนใบหน้าของเติ้งหมิงเจี๋ย และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอีกสองสามส่วน แต่ในใจเขาก็คิดคำนวณไว้เช่นกัน
ว่ายิ่งชื่อไห่เก่งกาจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อการค้าอย่างตนเองมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ข้อเสนอที่อีกฝ่ายยื่นมาจะชวนให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับบริษัทภาพยนตร์เหอ อันยิ่งใหญ่แล้ว มันกลับดูเล็กน้อยไปเลย
มองจากมุมอื่นแล้ว เขาก็ถือว่าชื่อไห่เป็นเพียงเครื่องมือของตนเอง ค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย เปรียบเสมือนการเติมน้ำมันให้กับเครื่องมือที่ต้องการใช้
จิ้งจอกเฒ่าสองตัวต่างจ้องมองและวางแผนกันอย่างแยบยล ก่อนอาศัยม่านความมืดยามราตรี ค่อย ๆ เดินเข้าไปในวิลล่าตระกูลเหอ
จางเหวินฉีนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างไรก็ข่มตาหลับไม่ลง ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงมีความรู้สึกไม่เป็นมงคลตลอดเวลา
การสูญเสียความรักและการปกป้องจากพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กทำให้เธอเหมือนกับสัตว์ร้ายตัวน้อยที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในป่า ยามมีอันตรายมาประชิดตัว เธอจึงค่อนข้างรู้สึกถึงมันได้ไวเป็นพิเศษ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อนอนไม่หลับ เธอจึงลุกขึ้นสวมเสื้อคลุม ก่อนผลักประตูแล้วเดินออกไป
บริเวณโดยรอบเงียบสงบ บ้านพักตระกูลเหอไม่มีเสียงวุ่นวายเหมือนตอนกลางวัน แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนพื้นดินดูราวกับผืนน้ำ ทำให้อารมณ์ร้อนรนของเธอสงบลงเล็กน้อย เธอหัวเราะเยาะแล้วค่อยพึมพำพูดกับตัวเอง
“ช่วงนี้คงจะเหนื่อยเกินไปจริง ๆ ถึงได้รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปหาเหอเจ๋อให้เขาดูอาการก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ เธอก็หันหลังกลับ เตรียมตัวเข้าห้องไปนอน แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีเงาดำแวบผ่านหน้าไป และก่อนที่เธอจะทันได้เอ่ยปากถาม ปลายปืนเย็นเฉียบก็จ่อเข้าที่เอวของจางเหวินฉี
“อย่าขยับ! ไม่งั้นฉันยิงแน่! ”
ในตอนแรกจางเหวินฉีค่อนข้างตกใจ แต่หลังจากนั้นก็โต้กลับอย่างใจเย็นว่า “ถ้าคุณต้องการเงิน แค่บอกกันมาดี ๆ ก็เพียงพอค่ะ ตระกูลเหอไม่เคยขาดแคลนเงินทองอยู่แล้ว สิ่งที่ฉันร้องขอคืออย่าทำร้ายพวกเราก็เท่านั้น”
จางเหวินฉีไร้ญาติขาดมิตรมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเธอจึงให้ความสำคัญกับทุก ๆ ชีวิตในวิลล่าตระกูลเหอมาก และไม่อยากให้ใครต้องเป็นอะไรไป
“แล้วถ้าฉันต้องการทั้งตระกูลเหอล่ะ? ”
จางเหวินฉีขมวดคิ้ว เสียงนี้ฟังดูคุ้นหู เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“เติ้งหมิงเจี๋ย นายต้องการอะไร! ” เธอตวาดอย่างเกรี้ยวกราด
เติ้งหมิงเจี๋ยหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น แค่อยากได้ของ ๆ ตัวเองคืนเฉย ๆ ”
จางเหวินฉีพอจะเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างแล้ว “พ่อไม่เคยเลือกปฏิบัติหรือทำตัวลำเอียงกับนาย อย่ามาโลภมากนักเลย”
เติ้งหมิงเจี๋ยหัวเราะลั่นด้วยเจตนาหยาบช้า พร้อมพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “ฉันไม่เคยโลภมากเสียหน่อย ความจริง… ตระกูลเหอควรเป็นของฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความแน่วแน่เป็นของตนเองและคงไม่ล้มเลิก จางเหวินฉีจึงไม่ลังเลที่จะกรีดร้องออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
ทว่าก่อนที่เธอจะได้มีโอกาสทำตามเป้าหมาย หม่ารุ่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็พุ่งออกมาอย่างกะทันหัน แล้วใช้มือใหญ่โตที่เต็มไปด้วยขนดกแน่นปิดปากของเธอเอาไว้
สีหน้าจางเหวินฉีฉายความหวาดกลัวออกมา เธอพยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าเรี่ยวแรงของเธอเทียบกับหม่ารุ่ยไม่ได้เลย เธอเหมือนกับตุ๊กตาตัวใหญ่ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไร้ผล
“นางนี่มีอะไรน่าพูดด้วยวะ ไอ้จ๋อ ไปจัดการมัน! ”
ชายร่างผอมหน้าเหมือนลิงถือมีดปลายแหลมเดินเข้ามา
“ช้าก่อน! ”
เติ้งหมิงเจี๋ยขวางเขาเอาไว้ มองหน้าจางเหวินฉีที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่านยากว่า
“ผู้หญิงคนนี้รู้เรื่องงานสำคัญ ๆ ของ บริษัทภาพยนต์เหอเยอะ ถ้าเลือกฆ่าเธอตอนนี้ การเทคโอเวอร์บริษัทจะยากลำบากและมีแววขาดทุนเยอะมาก ปล่อยเธอไปเถอะ”
“เรื่องมากจริง”
หม่ารุ่ยลงทุนลงแรงเพื่อบริษัทภาพยนตร์เหอไปแล้ว ดังนั้นตามมาตรฐาน เขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับบริษัทนัก ด้วยนั่นจะนำไปสู่การขาดทุน สุดท้ายจึงทำได้การบ่นออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะหยิบเทปกาวพันสายไฟประสิทธิภาพสูงที่พกติดตัวขึ้นมา จัดการมัดมือมัดเท้าและปิดปากของจางเหวินฉีจนแน่นหนา จากนั้นก็แบกเธอขึ้นบ่า
พวกเขาอาศัยความมืดเป็นเกราะกำบัง ลัดเลาะผ่านสวนด้านหน้าไปอย่างรวดเร็ว เหอซู่โหรวรออยู่ที่ประตูส่วนหลัง เธอได้สั่งให้ยามออกไปตรวจตราที่อื่นแล้ว เมื่อเห็นหม่ารุ่ยแบกจางเหวินฉีที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาอยู่บนบ่ามา แววตาของเธอจึงแฝงไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
มนุษย์นั้นไม่ใช่ต้นไม้ใบไผ่ไร้หัวใจ
ถึงแม้ว่าจางเหวินฉีจะเป็นเพียงบุตรสาวบุญธรรมของตระกูลเหอ แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ เธอปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ไม่เคยบกพร่องเรื่องมารยาทเลยแม้แต่น้อย
ทว่าในตอนนี้ พวกเขากำลังจะกลายเป็นศัตรูกัน ฉะนั้นเหตุใดเธอจะไม่รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งใจเล่า
MANGA DISCUSSION