บทที่ 123 ตัดอย่างเด็ดขาด
ความคิดของเหอเจ๋อแล่นเร็วเหมือนไฟฟ้า ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันนึกถึงข้อมูลที่ตนเองเพิ่งเค้นจากนักฆ่าหมายเลขเจ็ดขึ้นมาได้ รอยยิ้มเยาะเย้ยผุดขึ้นมาบนมุมริมฝีปาก เขาพึมพำกับตัวเองว่า “จิ้งจอกเฒ่าคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็พร้อมลงมือแล้วสินะ”
เขาครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาเกิดประกายเจ้าเล่ห์
มีแรงงานให้ใช้สอยอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่ใช้คงน่าเสียดายแย่
เหอเจ๋อตะโกนกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ทันที “เฮ้ ในฐานะพลเมืองดีที่เคารพกฎหมาย ความปลอดภัยส่วนบุคคลของผมกำลังถูกคุกคาม พวกคุณจะยืนดูเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ? “
จางเสี่ยวเถายักไหล่อย่างจนใจ “ชื่อไห่ มีอำนาจในต่างประเทศมาก หากเรารีบร้อนลงมือโดยยังไม่รู้เป้าหมาย พวกเขาอาจมองว่านี่เป็นการยั่วยุได้ หากเกิดสงครามขึ้น ชาวจีนโพ้นทะเลจะมีอันตราย ดังนั้นเราจะไม่ลงมือจนกว่าจะรู้จุดประสงค์ของพวกเขา”
แม้คำพูดของเธอจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่เหอเจ๋อกลับรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ เขาเบ้ปาก “หมายความว่า พวกคุณจะรอให้ผมตายแล้วค่อยแก้แค้นให้ผมสินะ”
“พูดแบบนั้นไม่ได้นะ ฉันได้รายงานเรื่องนี้ให้แก่หัวหน้าเซี่ยแล้ว” จางเสี่ยวเถา พยายามกลั้นหัวเราะ ดวงตายิบหยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยว เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านบอกให้คุณวางใจได้ ตราบใดที่คนของชื่อไห่ กล้าแตะต้องคุณแม้แต่ปลายเล็บ พวกเราจะสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน”
“งั้นฝากขอบคุณหัวหน้าเซี่ยกับครอบครัวด้วยละกัน”
เหอเจ๋อกัดฟันพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะฝากข้อความให้”
หลังจากวางสาย เหอเจ๋อเริ่มครุ่นคิด แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ จากเซี่ยชิง ตาจิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ แต่นี่ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับเขา
“ฉันกำลังกลุ้มใจว่าจะกำจัดแกยังไงดี ไม่คิดเลยว่าแกจะวิ่งเข้ามาหาเรื่องด้วยตัวเอง”
…
แม้สถานบันเทิงยามค่ำคืนของเมืองใหญ่จะคึกคัก แต่หลังพ้นจากเที่ยงคืนไปแล้ว ผู้คนที่เดินบนท้องถนนก็บางตาลงเป็นอย่างมาก คนส่วนใหญ่หัวถึงหมอนเข้านอนไปหมดแล้ว เหลือเพียงพวกนกฮูกราตรีเท่านั้นที่ยังคงสัญจรไปมา
ที่สวนหน้าบ้านครอบครัวเหอ ในห้องนอนที่มืดมิด ในช่วงเวลานี้ของทุก ๆ คืนควรมีเสียงกรนของคนที่กำลังหลับใหลขับคลอ แต่คืนนี้มันกลับเงียบสงัด มีเพียงเงาของคนสองคนนั่งประจันหน้าหันเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างเงียบ
“หมิงเจี๋ย ทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ อย่างไรเสียเขาก็เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของฉัน เป็นญาติคนเดียวที่ยังเหลืออยู่บนโลกใบนี้ ฉันสามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้” เหอซู่โหรวสวมชุดนอนผ้าไหม เอนหลังพิงผนัง ร่างกายสั่นเทา ไม่รู้เป็นเพราะหนาว หวาดกลัว หรือตื่นเต้นกันแน่
ฝั่งเติ้งหมิงเจี๋ยสวมชุดกีฬาสีดำ กำลังเล่นกับกล่องโลหะสีดำในมือ ดวงตาในความมืดเปล่งประกายวาววับน่ากลัว
“เกลี้ยกล่อม? ”
เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ใบหน้าไม่ปกปิดร่องรอยความดูถูกเหยียดหยามและเย้ยหยัน “ทำไมจนป่านนี้เธอถึงยังโง่ซ้ำซากไม่เลิก? ตั้งแต่เหอเจ๋อปรากฏตัว เขาเคยชายตาหันมามองพวกเราบ้างไหม? เคยหันมามองลูกชายของเราสักครั้งหรือเปล่า? ช่วงนี้การโยกย้ายพนักงานในบริษัทเกิดขึ้นบ่อยมาก พวกเขาประกาศว่าเป็นการปรับโครงสร้างขององค์กร ถ้าไม่ตาบอดก็คาดเดาได้ไม่ยากหรอก ว่าเหอหย่งฝูกำลังคิดปูทางให้ลูกชายของตัวเอง”
เขาตบโซฟาอย่างแรง พูดอย่างโกรธเคือง “เธอเห็นเขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ แต่เขาเห็นเธอเป็นน้องสาวบ้างหรือเปล่า ตลอดมาเธอแค่ทนหลอกตัวเองไปเปล่า ๆ เท่านั้นแหละ”
ร่างกายของเหอซู่โหรวสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดเซียวราวกับถูกฟ้าผ่าใส่
เติ้งหมิงเจี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดต่อ “เมื่อก่อนฉันเตือนเธอไปกี่ครั้งแล้วว่าให้รีบลงมือซะ อะไร ๆ จะได้ไม่สายเกินแก้ แต่เธอก็ไม่เคยฟัง ตอนนี้ลูกชายแท้ ๆ ของเขากลับมาแล้ว เขาไม่ต้องการพวกเราแล้ว ตอนนี้สาแก่ใจเธอหรือยังล่ะ? ”
เหอซู่โหรวกัดริมฝีปากเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงลังเล “แต่พี่ชายก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับพวกเรานะคะ”
“กับลูกชายของเขาน่ะไม่เหมือนกันหรอก ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราเละเทะย่ำแย่จะตาย หรือเธอจะไปอ้อนวอนขอร้องไอ้เด็กเวรนั่นล่ะ? ขอร้องให้เขามาแบ่งเศษแบ่งชิ้นมาให้ขอทานอย่างพวกเรา”
ร่างของเหอซู่โหรวสั่นสะท้าน คำพูดของเติ้งหมิงเจี๋ยแทงเข้าไปในใจเธอราวดาบคมกริบ ความตั้งใจอันแน่วแน่ของเธอเริ่มสั่นคลอน
เติ้งหมิงเจี๋ยเห็นท่าทีเช่นนั้นก็รีบพูดต่อทันที “อีกอย่าง เรื่องราวมันเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันเองก็ไม่อยากให้มันกลายเป็นแบบนี้นักหรอก ถ้าเป็นเมื่อก่อน พวกเราคงพอจัดการแบบค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปได้ วางยาปั่นประสาทจนทำให้เขาบ้า ไม่ต้องถึงขั้นตาย แล้วค่อยส่งไปใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่บ้านพักคนชรา แต่ตอนนี้สถานการณ์มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ไอ้เด็กเวรนั่นเข้ามาบริหารบริษัทแล้ว พวกเราจะไม่เหลือโอกาสให้ลงมืออีกต่อไปแล้ว”
เขาเหลียวมองไปรอบ ๆ ก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปกอดเหอซู่โหรว ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นโศกเศร้า “เชื่อฉันเถอะ ทั้งหมดนี้ฉันทำเพื่อเธอ เพื่อให้ชางเอ๋อร์มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องไปร้องขออะไรจากไอ้เด็กเวรนั่น”
ลำพังเหอซู่โหรวเป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว พอถูกเจ้าจิ้งจอกเฒ่าอย่างเติ้งหมิงเจี๋ยพูดจาหว่านล้อม ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ในที่สุดก็หลงกล เธอขบริมฝีปากแน่น “ให้ฉันไปขอร้องไอ้เด็กนั่น… ไม่มีทาง ตกลง! ทำอย่างที่ตกลงกันไว้นั่นแหละ เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะเปิดประตูหลังบ้านไว้ให้”
แววตาของเติ้งหมิงเจี๋ยฉายแววดีใจ ที่เขาต้องทำตัวต่ำต้อย คอยเอาอกเอาใจเหอซู่โหรวถึงขนาดนี้ก็ไม่ใช่เพราะความผูกพันธ์อะไรหรอก กับผู้หญิงโง่เง่าโลเลแบบนี้ เขาเบื่อจนสุดจะทนแล้ว
ตอนที่สร้างคฤหาสน์ของตระกูลเหอ ในห้องนอนใหญ่ด้านหลังบ้าน ได้ติดตั้งระบบสแกนม่านตาสุดล้ำสมัยจากอเมริกาเอาไว้
มีเพียงทายาทสายตรงของตระกูลเหอเท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ และประตูจะล็อคโดยอัตโนมัติหากมีการบุกรุก แม้การบุกรุกนั้นจะเล็กจ้อยเพียงใดก็ตาม และถ้าคิดจะเอาความแข็งแกร่งเข้างัดหรือใช้กำลัง ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงกว่าจะเปิดออกได้ ซ้ำต่อให้ตำรวจจะมาถึงช้าแค่ไหน ที่นี่ก็คงถูกปิดล้อมไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ซึ่งตระกูลเหอก็ดันมีสมาชิกอยู่น้อย นอกจากเหอซู่โหรวผู้เป็นน้องสาว ก็ไม่มีทายาทสายตรงคนไหนเหลืออีกแล้ว ตอนนี้มีเหอเจ๋อเพิ่มมาอีกคน เติ้งหมิงเจี๋ยจึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อโน้มน้าวเหอซู่โหรว
พอเห็นว่าในที่สุดเธอก็ใจอ่อน เติ้งหมิงเจี๋ยที่กลัวว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ขึ้นมาจึงรีบพูดกำชับ
“เรื่องนี้รอช้าไม่ได้แล้ว ไม่ต้องรอถึงวันอื่นหรอก เอาเป็นคืนนี้นี่แหละ ฉันติดต่อเพื่อนที่ต่างประเทศไว้แล้ว คาดว่าอีกชั่วโมงเจ้านั่นคงมาถึง คืนนี้พวกเรามาจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเถอะ”
“ลงมือคืนนี้… ไม่เร็วไปหน่อยหรือคะ” เหอซู่โหรวตระหนก พูดด้วยความประหลาดใจ
“รอต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่งั้นพวกเราจะต้องตกอยู่ในอันตราย ในเมื่อตัดสินใจที่จะลงมือแล้ว ยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี”
เติ้งหมิงเจี๋ยกอดเธอ ปลุกปลอบอย่างอ่อนโยน
MANGA DISCUSSION