บทที่ 122 เจตนาฆ่าปรากฏขึ้น
ในขณะเดียวกัน เหอหย่งฝูแม้จะคอยถามเฟิ่งเฟยเฟยเกี่ยวกับชีวิตประจำวันในเมืองหลินอันอยู่บ่อยครั้ง แต่เขากลับไม่ยอมพูดถึงเรื่องที่จะไปหาเธอเลย แม้แต่เหอเจ๋อจะพยายามพูดถึงตรง ๆ ก็จะถูกเขานิ่งเฉยและเปลี่ยนเรื่องคุย ทำให้เขาไม่เข้าใจ จนกระทั่งจางเหวินฉีพูดขึ้นมาว่า
“พ่อกับแม่อยู่ห่างกันมานานขนาดนี้ เบื้องหลังต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างแน่ ๆ พวกเขาไม่ยอมเจอหน้ากัน ก็ต้องมีเหตุผลสิ พวกเราไม่ต้องไปเร่งรัดหรอก”
เหอเจ๋อคิดตามก็เห็นด้วย แต่เขาเชื่อว่า ในเมื่อแม่ให้เขามาช่วยรักษาพ่อ แสดงว่าทั้งคู่ยังตัดไม่ขาดกัน เพียงแต่มีเรื่องราวซ่อนอยู่ ซึ่งวันหนึ่งความจริงจะต้องปรากฏ หากไปเร่งรัดมากเกินไป อาจจะได้ผลตรงกันข้าม
ตกค่ำหลังอาหารเย็น เหอหย่งฝูก็พาเหอเจ๋อเข้าไปในห้องหนังสือ ซึ่งกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ทุกคืนเขาจะอธิบายเรื่องการบริหารบริษัทและประสบการณ์การต่อสู้ในสมรภูมิธุรกิจที่สั่งสมมาชั่วชีวิตให้เหอเจ๋อฟัง แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่การกระทำของเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องการให้เขาเป็นผู้สืบทอดกิจการ
แม้เหอเจ๋อจะไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ แต่เพื่อไม่ให้พ่อผิดหวัง เขาก็ยังคงตั้งใจฟัง
เหอหย่งฝูอายุมากแล้ว แถมเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก ทำให้ร่างกายและจิตใจไม่แข็งแรงเหมือนก่อน การสอนงานให้เขานั้นจึงค่อนข้างใช้พลังงานมาก ไม่ถึงสี่ทุ่มเขาก็หาวออกมาไม่หยุด
เหอเจ๋อเห็นแบบนั้นก็อดสงสารไม่ได้ จึงเอ่ยปากขึ้นว่า “พ่อครับ ช่วงนี้พ่อสอนผมเยอะแล้ว ผมอยากทำความเข้าใจกับเรื่องที่ผ่านมาก่อน วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่าครับ”
“อืม มากเกินไปก็ย่อยยาก รีบร้อนเกินไปก็ไม่สำเร็จ เป็นพ่อที่ใจร้อนเอง” เหอหย่งฝูยิ้มอย่างอ่อนโยน
“งั้นพ่อพักผ่อนก่อนนะครับ ผมกลับห้องก่อน”
เหอเจ๋อลุกขึ้นลาแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ กลับไปที่ห้องนอน ระหว่างทาง พบคนรับใช้ที่บ้าน ทุกคนต่างหยุดโค้งทักทายเขา ขณะที่เขาเพิ่งเปิดประตูห้อง มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น
ช่วงนี้เขาโด่งดังขึ้นมาก มีสายก่อกวนโทรเข้ามามากมาย เขาจึงต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่ เบอร์นี้มีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่รู้
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นเบอร์แปลกที่เขาไม่รู้จัก เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหล คุณชายเหอ จำฉันได้ไหม”
น้ำเสียงใส ๆ แฝงไปด้วยรอยยิ้มจากปลายสาย ทำให้หัวใจของเหอเจ๋อเต้นแรงขึ้นมาทันที เขานึกออกว่าเสียงนี้เป็นของใคร รีบพูดด้วยความดีใจ “จางเสี่ยวเถาเหรอ ช่วงนี้เธอทำอะไรอยู่”
“ฉันพักผ่อนน่ะสิ จะไปยุ่งเท่านายได้ยังไง ช่วงนี้ได้ยินชื่อนายจนเบื่อไปเลย ถ้ารู้แบบนี้ว่านายคือคุณชายของบริษัทภาพยนต์เหอ ตอนนั้นฉันน่าจะเกาะขาคุณไว้ให้แน่น ๆ ไม่ปล่อยไปไหน ตอนนี้ก็คงได้เป็นคุณนายที่ใคร ๆ ก็อิจฉาแล้ว”
เหอเจ๋อทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาอย่างเฉยเมย ฟังเธอพูดจาประชดประชัน เขาเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์ “เลิกพูดแบบนั้นได้แล้ว เด็กน้อยอายุแค่นี้ ฉันกลัวจะเป็นฝ่ายติดคุกเอา”
จางเสี่ยวเถาโดนสะกิดใจ เลือดขึ้นหน้า รีบพูดอย่างหัวเสีย “เลิกพูดเรื่องอายุฉันได้แล้วนะ ปีหน้าฉันก็บรรลุนิติภาวะแล้ว”
“งั้นก็รอให้ถึงปีหน้าก่อนสิ” เหอเจ๋อหัวเราะลั่น ยิ่งได้พูดคุยกันนาน ๆ เขาพบว่าจางเสี่ยวเถานั้นเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งจริง ๆ
จางเสี่ยวเถาฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด “วันนี้โทรมาหาเพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกแท้ ๆ แต่ตอนนี้ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะวางสายดีไหม”
เหอเจ๋อกลอกตาไปมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยุว่า “เธอจะมีข่าวสำคัญอะไรได้กัน ฉันว่าต้องเป็นเรื่องไร้สาระน่ะสิ”
“ไร้สาระบ้าบอ ฉันค้นพบ…” จางเสี่ยวเถารีบร้อนจนเกือบจะหลุดปากพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป โชคดีที่ในวินาทีสุดท้ายเธอก็ตั้งสติได้ทัน รีบหยุดปากตัวเองพร้อมกับพูดอย่างลำพองว่า “ถ้านายไม่อยากฟังก็ช่างปะไร ฉันก็ขี้เกียจพูดเหมือนกัน ยังไงซะคนที่เสียใจภายหลังก็ไม่ใช่ฉันอยู่แล้ว”
กลายเป็นว่ายิ่งทำให้เหอเจ๋อรู้สึกอยากรู้มากขึ้น ผู้ชายอย่างเขายอมอ่อนข้อให้เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สักหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฉันยอมฟัง ฉันอยากฟังมาก ๆ เลย เธอบอกมาเถอะ”
“ฮ่า ๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากพูดแล้วละสิ”
เหอเจ๋อได้ยินแบบนั้นก็รู้ทันทีว่าเจ้าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงพูดพร้อมกับหัวเราะว่า “พอเถอะ เลิกกวนได้แล้ว พี่สาวฉันให้บัตรกำนัลช้อปปิ้งที่ร้านชาแนลกับฉันมา ฉันเป็นผู้ชายตัวโต ๆ แบบนี้ก็ไม่ได้ใช้มันหรอก เดี๋ยวเอาไปให้เธอแล้วกัน”
“แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” จางเสี่ยวเถาพูดอย่างพอใจหลังจากที่รีดไถได้สำเร็จ “ตอนนี้นายสะดวกคุยไหม”
เหอเจ๋อเหลียวมองไปรอบ ๆ ห้องที่ว่างเปล่า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “มีแต่ฉันอยู่คนเดียวในห้อง จะให้สะดวกกว่านี้ได้ยังไง”
ปลายสายดังเสียงอึกทึกครู่หนึ่งก่อนจะเงียบไป ดูเหมือนเธอจะจงใจหาสถานที่เงียบสงบที่เหมาะแก่การพูดคุย เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “เรื่องนี้ฉันบังเอิญค้นพบเข้า เพราะเรื่องเหตุการณ์ปล้นเครื่องบินครั้งก่อน ทำให้ตัวตนของฉันถูกเปิดเผย ฉันเลยจำเป็นต้องหลบซ่อนตัว วันนี้ตอนที่ฉันกำลังทำเรื่องลาออกที่สนามบิน ฉันบังเอิญเจอกลุ่มคนของชื่อไห่เพิ่งลงจากเครื่องบินพอดี”
“คนของชื่อไห่งั้นเหรอ”
หลังจากที่เหอเจ๋อฟังจบ เขาใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านั่นคือชื่อองค์กรของเจ้าพวกที่เคยมาลอบสังหารเขาที่คาสิโนโบโล
“ในเมื่อพวกมันไม่ใช่คนดี พวกเธอก็จับมันซะเลยสิ”
จางเสี่ยวเถาเบ้ปากอย่างเหนื่อยใจ พร้อมกับพูดว่า “เราก็เป็นหน่วยงานที่ถูกกฎหมายนะ ไม่ใช่โจรป่าซะหน่อย จะได้เห็นใครไม่สบายตาแล้วกำจัดทิ้งได้ตามใจชอบ การจับกุมคนมันต้องมีหลักฐาน พวกมันมีเอกสารแสดงตัวตนถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง พวกเราไม่สามารถลงมือทำอะไรก่อนได้”
“จากที่เห็นตอนที่พวกเธอพยายามลากฉันเข้าพวกคราวนั้น ฉันก็นึกว่าพวกเธอเป็นโจรป่าจริง ๆ ซะอีก”
ในที่สุด เหอเจ๋อก็ได้โอกาสระบายความอัดอั้นที่เก็บไว้ในใจออกมา
จางเสี่ยวเถาที่อยู่อีกฝั่งถึงกับของขึ้น เธอพูดด้วยความโกรธว่า “นายเชื่อไหมว่าตอนนี้ฉันจะคว้ามีดทำครัว วิ่งไปตามสายโทรศัพท์ไปฟันนายให้ตายเลย”
“เชื่อสิ เชื่อสิ ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ” เหอเจ๋อหัวเราะแห้ง ๆ เพื่อกลบเกลื่อน ก่อนจะถามอย่างสงสัยว่า “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับฉัน พวกเธอทำอะไรไม่ได้ เลยอยากให้ฉันลงมือกำจัดพวกมันแทนรึไง บอกไว้ก่อนนะ ฉันรับจ้างทำงานแบบนี้ต้องจ่ายเงินนะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก พวกชื่อไห่กับพวกเรามักจะไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็ไม่ใช่คนโง่ พวกมันคงไม่คิดพาคนมาแค่นี้เพื่อก่อความวุ่นวายในประเทศหรอก แบบนั้นมันไม่ต่างอะไรกับเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า ๆ ฉันเดาว่าครั้งนี้พวกมันมา คงจะมาทำภารกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่า”
จู่ ๆ หัวใจของเหอเจ๋อก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เขาพูดอย่างลังเลว่า “เธอสงสัยว่าพวกมัน…”
จางเสี่ยวเถาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ใช่ ฉันสงสัยว่าภารกิจลอบสังหารที่คาสิโนโบโลครั้งก่อนมันล้มเหลว ครั้งนี้อาจเป็นการมาแก้แค้นก็ได้”
MANGA DISCUSSION