บทที่ 118 ระบุตัวตนแล้ว
เติ้งหมิงเจี๋ยนั่งขมวดคิ้วอยู่บนโซฟา สีหน้าท่าทางบ่งบอกถึงความขุ่นมัว เขามองเหอซู่โหรวที่กำลังเดือดดาลอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “อย่าทุบอีกเลย ช่วงนี้เธอทำแจกันพังไปกี่อันแล้วรู้ไหม? ทำแบบนี้ไปก็เท่านั้น เจ้าเด็กนั่นก็ยังคงลอยล่องสบายใจอยู่วันยังค่ำ เส้นผมไม่ร่วงไปสักเส้นหรอก”
เหอซู่โหรวเองก็รู้ดีแก่ใจ แต่ความคับแค้นใจในอกมันรุ่มร้อนไปหมด ไม่มีที่ระบาย ก็ได้แต่ลงกับข้าวของพัง ๆ พวกนี้เท่านั้น
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด นี่กลายเป็นภาพชินตาของทั้งคู่ไปเสียแล้วในระยะหลัง เวลาที่อยู่ด้วยกัน ฝ่ายหนึ่งก็จะฟูมฟาย อีกฝ่ายก็ได้แต่นิ่งเงียบ สุดท้ายก็จบลงแบบไม่สวย
เติ้งหมิงเจี๋ยนั่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “ช่วงนี้ พี่ชายเธอมีท่าทีผิดปกติบ้างไหม?”
“หมายความว่าไง?”
“หัวหน้าฝ่ายการเงินของบริษัทชื่อเหล่าหลิวน่ะ เป็นคนของฉันมาตลอด แต่จู่ ๆ เมื่อวานนี้ เขาก็ดันถูกย้ายไปอยู่ฝ่ายขายโดยที่ฉันไม่ได้รับสัญญาณเตือนล่วงหน้าเลยสักนิด ปกติแล้วไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน”
เหอซู่โหรวได้ฟังดังนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
สุภาษิตจีนมีอยู่ว่า “เป็ดรับรู้ถึงน้ำในแม่น้ำอุ่นขึ้นก่อน” ในแวดวงธุรกิจ เปรียบได้กับสนามรบ การเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิดอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างได้
ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะอุบัติขึ้น มักจะมีสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นก่อนเสมอ การโยกย้ายบุคลากรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในครั้งนี้อาจเป็นลางบอกเหตุของมรสุมลูกใหญ่ที่กำลังจะมาเยือนก็เป็นได้
“หรือว่า พี่ชาย… เขาจะ…”
เติ้งหมิงเจี๋ยลุกขึ้นยืน ก่อนจะสวมกอดเหอซู่โหรวไว้ในอ้อมแขน “เราต่างก็รู้ดีว่าเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร เรารอต่อไปไม่ได้แล้วนะ ฉันเตรียมแผนสุดท้ายไว้แล้ว”
“แต่… เขาก็พี่ชายของฉันนะ…”
“ซู่โหรว เลิกโง่ได้แล้ว ตอนนี้ในสายตาพี่ชายเธอ มีแต่หมอคนนั้นแล้ว เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาถูกหลอกไปหมดแล้ว ไม่คิดถึงฉันก็ห่วงชางเอ๋อร์บ้างเถอะ”
เหอซู่โหรวเป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว แถมยังขาดความหนักแน่น ถูกเติ้งหมิงเจี๋ยปั่นหัวเข้าหน่อยก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ก็ตามที่นายว่า แต่ก่อนอื่น อย่าปล่อยให้ไอ้เด็กเวรนั่นรอดไปได้ง่าย ๆ ล่ะ”
“วางใจเถอะ ฉันขึงไม้รอมันไว้หมดแล้ว รับรองว่างานนี้ได้ชื่อเสียงฉาวโฉ่กลับไปแน่ เธอรอรับชมได้เลย”
เติ้งหมิงเจี๋ยมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะเผยรอยยิ้มอันน่าขนลุกออกมา
พนักงานของบริษัทภาพยนตร์เหอต่างก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของประธานเหอหย่งฝูที่แต่ก่อนเคยเป็นนักทำงานตัวยง ไม่เคยหยุดพัก แต่ช่วงนี้เขากลับเฉื่อยชาลงอย่างเห็นได้ชัด มักจะเหม่อลอยในระหว่างการประชุม แม้แต่ตอนขึ้นกล่าวบนเวที ก็พูดเพียงไม่กี่ประโยคแบบขอไปที
โชคยังดีที่ช่วงนี้ทั้งบริษัทต่างก็ยุ่งอยู่กับการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์การเผยแพร่กับทางญี่ปุ่น ไม่เช่นนั้น คณะกรรมการบริษัทคงต้องออกมาประท้วงกันบ้างแล้ว
บ่ายวันนั้น บริษัทกำลังประชุม รายงานสรุปผลงานในช่วงที่ผ่านมา ทันใดนั้น เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเหอหย่งฝูก็ดังขึ้น ตามนิสัยปกติ เขาจะวางสายไปเลย แต่ครั้งนี้ เขากลับถือโทรศัพท์วิ่งออกจากห้องประชุมไป ปล่อยให้ทุกคนที่เหลือมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เหวินฉี หย่งฝูช่วงนี้เป็นอะไรไป ทำไมถึงดูไม่มีสมาธิกับงานแบบนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็บอกให้พวกเรารู้บ้างก็ได้”
หนึ่งในกรรมการอาวุโสของบริษัทภาพยนตร์เหอ เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่
คำพูดของเขา เหมือนพูดแทนความรู้สึกของทุกคน ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้น มองไปที่จางเหวินฉีเป็นตาเดียว
จางเหวินฉีขยี้ตาที่เมื่อยล้าของเธอ เธอไม่ได้นอนมาสามสิบกว่าชั่วโมงแล้ว เพราะต้องยุ่งอยู่กับเรื่องลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด เธอหาวอย่างเฉื่อยชา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหมาย “เรื่องนี้ยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผย แต่สำหรับทุกคนแล้ว มันเป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน ไม่ต้องกังวลไป”
“เรื่องดีงั้นเหรอ”
ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าเรื่องนี้มันดียังไง
ข้างนอกห้องประชุม เหอหย่งฝูกำโทรศัพท์มือถือไว้ แขนของเขาสั่นเล็กน้อย ความรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังแบบนี้ เขาไม่ได้สัมผัสมันมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่อาจทราบได้
“ผู้อำนวยการอู๋ ผลออกมาแล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”
ปลายสาย ผมสีดอกเลาของผู้อำนวยการอู๋ ถือรายงานผลตรวจหนาเตอะอยู่ในมือ ตรวจสอบผลอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผลการเปรียบเทียบดีเอ็นเอออกมาแล้ว ความคล้ายคลึงกันสูงกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ เจ้าของคราบเลือดนั้น มีความเกี่ยวข้องเป็นญาติสายตรงกับคุณ”
โครม!
โทรศัพท์มือถือยี่ห้อเวอร์ทูรุ่นสั่งทำพิเศษ มูลค่าหกล้านแปดแสนบาท ตกกระทบพื้นแตกกระจาย เหอหย่งฝูโซเซไปเล็กน้อย ยืนพิงกำแพง น้ำตาแห่งความปีติไหลอาบแก้ม เขามองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย พึมพำกับตัวเองว่า “เฟยเฟย ที่แท้เธอก็ท้องลูกของเราจริง ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันมันผิดต่อเธอจริง ๆ”
แสงสีทองส่องกระทบพื้น สะท้อนเป็นประกายอ่อนโยน
เหอเจ๋อนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้หวาย ฝึกฝนวิชาเก้าเข็มวิถีอย่างเงียบ ๆ ช่วงนี้อาจเป็นเพราะเขาใช้มันบ่อย เขาจึงสรุปประสบการณ์และความเข้าใจบางอย่างได้ด้วยตัวเอง หากเขาสามารถหลอมรวมมันเข้าด้วยกัน การยกระดับขึ้นไปอีกขั้นก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้
ก๊อก ๆ ๆ!
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูที่ดังต่อเนื่องก็รบกวนสมาธิของเหอเจ๋อ เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนัก แต่ก็ยังอดทนหยุดฝึกฝน ลุกขึ้นไปเปิดประตู
“ใครครับ มีอะไรหรือเปล่า”
“เสี่ยวเจ๋อ ฉันเอง”
เหอเจ๋อเปิดประตูออกดู ก็พบว่าคนที่เคาะประตูคือเหอหย่งฝู เขาไม่ได้คิดอะไรมาก จึงผายมือเชิญเข้ามาด้วยความสงสัย “ลุงเหอ มีอะไรหรือครับ”
ตั้งแต่เข้าประตูมา เหอหย่งฝูก็จ้องมองมาที่เหอเจ๋อไม่วางตา ทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว จนเผลอพูดติดตลกออกไปว่า “ลุงเหอ บนหน้าผมมีดอกไม้บานหรือไงครับ”
เหอหย่งฝูไม่หัวเราะ เขาถอนหายใจ อ้าปากพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความลังเล
“ลุงเหอ มีอะไรก็พูดตรง ๆ ได้เลยครับ”
เหอหย่งฝูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ก่อนจะเอ่ยถาม “ลุงได้ยินมาว่า นายโตมากับแม่แค่สองคน นายเกลียดพ่อของนายไหม?”
เหอเจ๋อตกตะลึงในทันที คำถามนี้เป็นเหมือนแผลในใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ถามเขาก็อาจจะเป็นพ่อแท้ ๆ ของเขา
เมื่อนำทั้งสองสิ่งมารวมกัน ทำให้หัวใจของเขาสับสนวุ่นวาย เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อน “แน่นอนว่าผมเกลียด เพราะเด็กคนอื่น ๆ เมื่อโดนแม่ตี เขายังสามารถไปอ้อนพ่อได้ แต่ผมทำได้เพียงแอบร้องไห้คนเดียวอยู่ที่มุมห้อง แต่ตอนนี้ผมไม่เกลียดแล้ว ผมแค่อยากถามเขาว่า ทำไมถึงทิ้งผมและแม่อยู่แบบนั้น แล้วจากไปคนเดียว”
เหอหย่งฝูกำหมัดแน่น พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลุงเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลสักอย่าง วันหนึ่งเขาจะบอกความจริงทั้งหมดกับนายเอง”
“ผมก็หวังอย่างนั้นครับ”
เหอหย่งฝูไม่ได้อยู่ที่นั่นนาน เขาตรงไปที่ห้องหนังสือหลังจากออกจากห้องของเหอเจ๋อ เขาหยิบรูปถ่ายขาวดำออกมาจากตู้ จ้องมองหญิงสาวที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนหวานบนภาพนั้นอย่างเหม่อลอย
“เฟยเฟย ลูกของเราเก่งมากจริง ๆ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอ ยกโทษให้ฉันด้วยที่ยังเปิดเผยตัวตนกับเขาไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ฉันจะประกาศให้โลกรู้ว่าฉันมีลูกชายที่น่าภาคภูมิใจ!”
MANGA DISCUSSION