บทที่ 112 การปล้นเครื่องบิน 1
“ขอโทษครับ ขอรบกวนกาแฟร้อนสักแก้ว”
จางเสี่ยวเถามองเหอเจ๋ออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้มลงชงกาแฟร้อนแล้วยื่นให้เขา
เหอเจ๋อยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับ ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าแก้วมันร้อน แขนของเขาสั่นเล็กน้อยจนจับแก้วไม่มั่นคง กาแฟร้อน ๆ หกราดใส่ตัวของลันดา
“ขอโทษที ขอโทษจริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
เหอเจ๋อรีบขอโทษพร้อมกับหยิบกระดาษเช็ดมือออกมา และรีบเช็ดกาแฟให้เขาอย่างรีบร้อน
แต่ไม่คิดว่าลันดาจะไม่สนใจใยดีสักนิด เขาผลักเหอเจ๋อออกอย่างหยาบคายและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!”
บนเครื่องบินที่เงียบสงบ เสียงของเขาดังมาก ชายสี่คนที่ขึ้นเครื่องมาพร้อมกับเขามีสีหน้าแปลก ๆ พวกเขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อผ้าโดยไม่รู้ตัว
เหอเจ๋อขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ แสดงสีหน้าโกรธเหมือนเด็กเกเรที่อารมณ์ร้อน เขาพูดว่า “นี่คุณเป็นอะไรเนี่ย ผมทำกาแฟหกใส่ก็จริง แต่นี่ผมก็ขอโทษแล้ว คุณทำท่าทางแบบนี้หมายความว่าไง”
ใบหน้าของลันดามืดครึ้มราวกับหยาดน้ำฝน เขาจ้องมองเหอเจ๋อขึ้น ๆ ลง ๆ สักพัก ก่อนจะส่งสัญญาณให้กับเพื่อนร่วมทางของเขาอย่างลับ ๆ บอกเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม จากนั้นก็อธิบายด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “ฉันไม่ชอบการสัมผัสตัวจากคนอื่น”
หลังจากพูดจบ เขาก็ก้มลงใช้กระดาษทิชชู่เช็ดกาแฟบนตัวของเขา
เหอเจ๋อกลับไปนั่งที่นั่งของเขาด้วยความไม่พอใจ เขายื่นมือออกไปโอบไหล่ของจางเหวินฉี สำหรับคนนอกแล้ว ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะบ่นกับแฟนสาวสองสามคำเพื่อปลอบใจตัวเอง
จางเหวินฉีตกใจกับการกระทำของเขา เธอกำลังจะดิ้นรน แต่แล้วก็มีเสียงแผ่วเบาเหมือนเสียงยุงดังขึ้นข้างหู
“พี่เหวินฉี ไอ้หมอนั่นมันพกปืนมาด้วย แน่นอนว่าต้องคิดไม่ดีแน่ ๆ ผมทำให้พวกมันสนใจแล้ว พี่รีบบอกให้เสี่ยวเถาไปแจ้งกัปตันที”
จางเหวินฉีช็อกไปครู่หนึ่ง ยังไม่ทันจะเข้าใจ เหอเจ๋อก็ผลักเธอกลับไปที่นั่ง
“ยัยผู้หญิงเฮงซวย นี่ยังจะมาโทษฉันอีกเหรอ ทนเห็นหน้าเธอมาตั้งนานแล้ว รีบไสหัวไปเลย ไม่อยากเห็นหน้าเธออีกแล้ว!”
ทุกคนหันไปมองเหอเจ๋อที่กำลังตะโกนด่าด้วยความรังเกียจ ผู้ชายแบบนี้ที่เอาแต่ระบายอารมณ์กับแฟนสาวเป็นอะไรที่น่ารังเกียจที่สุด
จางเหวินฉีคิดอย่างรวดเร็ว เธอต้องร่วมมือแสดงละครกับเขา เธออ้าปากทำท่าทางเหมือนคนน่าสงสารอย่างที่สุด จากนั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินออกไป
เหอเจ๋อจ้องมองเธอด้วยความโกรธและตะโกนว่า “ไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีกเลยนะ!”
ผู้โดยสารบนเครื่องบินที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง เสียดายแทนจางเหวินฉีที่ต้องมาเจอกับแฟนหนุ่มนิสัยเสียแบบนี้
มีชายหนุ่มเจ้าชู้หลายคนที่เห็นว่าจางเหวินฉีนั้นงดงาม พวกเขาจึงคิดว่าจะใช้โอกาสนี้เพื่อเอาชนะใจเธอดีหรือไม่
จางเสี่ยวเถาซึ่งเพิ่งเสิร์ฟอาหารเสร็จและกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ เธอเงยหน้ามองจางเหวินฉีที่วิ่งมาหาด้วยความประหลาดใจและถามว่า “คุณ…”
จางเหวินฉีขัดจังหวะเธอทันทีและพูดด้วยท่าทางร้อนรนว่า “มีคนเอาปืนขึ้นเครื่องบิน อาจจะคิดปล้นเครื่องบิน”
“อะไรนะ”
จางเสี่ยวเถาตกใจมาก เธอตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ เธอจึงรีบดึงจางเหวินฉีวิ่งไปที่ห้องนักบิน
“จางเสี่ยวเถา เธอกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงพาคนนอกเข้ามาที่นี่ในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่ รีบออกไป”
กัปตันเครื่องบินเป็นชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเขาเห็นพวกเขาวิ่งเข้ามาแบบลนลาน เขาก็ขมวดคิ้วและตะคอก
“กัปตันคะ แย่แล้ว มีคนเอาปืนขึ้นเครื่องบิน”
“พูดไร้สาระ ทุกคนต้องผ่านการตรวจค้นก่อนขึ้นเครื่อง แม้แต่ไฟแช็กก็ยังเอาขึ้นมาไม่ได้ แล้วจะเอาปืนขึ้นมาได้ยังไง” กัปตันขมวดคิ้วและดุเธอเสียงดัง
แววตาของจางเสี่ยวเถาแข็งกร้าวขึ้น เธอดูเหมือนจะลังเลอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น เสียงปืนดังขึ้นก็ทำให้ทุกคนในห้องนักบินแตกตื่น
“แย่แล้ว เหอเจ๋อตกอยู่ในอันตราย”
จางเหวินฉีตกใจมาก เธอหันหลังกลับและกำลังจะวิ่งกลับไปที่ห้องโดยสาร
จางเสี่ยวเถารีบคว้าเธอไว้แล้วพูดว่า “พี่เหวินฉี อย่าทำอะไรโดยพลการนะคะ ตอนนี้ถ้าเรากลับไปก็เท่ากับไม่เห็นค่าความหวังดีของเหอเจ๋อ”
“แต่…”
หัวใจของจางเหวินฉีเจ็บปวด เธอรู้ดีว่าเธอควรจะอยู่ที่นี่ แต่ไม่มีใครไร้หัวใจ เธอรู้สึกดีกับชายหนุ่มคนนี้หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเหอเจ๋อในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เธอกลับทำได้เพียงอยู่ที่นี่เพื่อ “ดูเหตุการณ์” ในขณะที่เขากำลังตกอยู่ในอันตราย ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกแย่มาก
จางเสี่ยวเถาหันไปมองกัปตันที่กำลังยืนงงอยู่ แล้วพูดว่า “คุณยังยืนงงอะไรอยู่คะ ปกติท่องจำข้อควรปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉินไปทำไม รีบติดต่อภาคพื้นดินสิคะ”
กัปตันรู้สึกตัวราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน เขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน และทันใดนั้นเขาก็เหมือนกับขาดสติ เขาทำตามที่จางเสี่ยวเถาพูดโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อขอความช่วยเหลือ เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่า “ฉันเป็นกัปตันนะ ทำไมต้องฟังพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินตัวเล็ก ๆ ด้วย”
แต่สถานการณ์ตอนนี้คับขันเกินกว่าจะมานั่งคิดเรื่องนี้ เขาจึงได้แต่ละทิ้งมันไปก่อน
ในเวลานี้ ห้องโดยสารก็วุ่นวายไม่แพ้กัน ผู้ก่อการร้าย 5 คนถือปืนจ่อไปที่ฝูงชนและตะโกนว่า “อย่าขยับ ใครก็ตาม เอามือจับหัวแล้วหมอบลง”
ชายวัยกลางผู้มีรอยสักกำลังนอนหลับสนิท ก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงอึกทึก เขารู้สึกหงุดหงิดและตะโกนออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “น่ารำคาญชะมัด! เสียงอะไรกันนักกันหนาวะ! จะให้คนนอนไหมเนี่ย! ”
ปัง!
เลือดไหลบนแขนของชายคนนั้นทันที ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นริ้วไปทั่วร่าง ทำให้เขาตื่นเต็มตา ก่อนจะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
“หุบปากซะ! ไม่งั้นกระสุนนัดต่อไปจะเจาะทะลุหัวนาย” แลนดาพูดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม พลางเป่าควันปืนที่ลอยกรุ่น
หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้โดยสารในห้องโดยสารทั้งหมดก็ตื่นจากภวังค์ นี่ไม่ใช่การแสดง และไม่ใช่เรื่องตลก พวกเขากำลังเผชิญกับการปล้นเครื่องบินจริง ๆ
เจอร์รี่เดินเข้ามาหาแลนดา แล้วถามด้วยความสงสัย “นายใหญ่ครับ ไหนบอกว่าจะลงมือหลังเครื่องขึ้นบินไปแล้วหนึ่งชั่วโมงไงครับ? ทำไมถึงเปลี่ยนแผนกะทันหันแบบนี้ล่ะครับ?”
แลนดาพ่นลมหายใจเสียงดัง เดินเข้าไปหาเหอเจ๋ออย่างรวดเร็ว แล้วจ่อปืนไปที่หน้าผากของเขาด้วยสีหน้าที่เดาไม่ออก “ไอ้เด็กนี่มันรู้ความลับของพวกเรา ถ้าพวกเรายังไม่ลงมือตอนนี้ ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
ผู้โดยสารในห้องโดยสารต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ในสายตาของพวกเขา เหอเจ๋อเป็นแค่เด็กหนุ่มขี้โมโห ชอบรังแกแฟนสาว ไม่น่าจะล่วงรู้ความลับของพวกโจรได้
แม้จะถูกปืนจ่ออยู่ที่หน้าผาก แต่สีหน้าของเหอเจ๋อกลับไม่แสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขากลับถามแลนดาด้วยความสงสัย “ผมว่าผมก็แสดงเนียนดีแล้วนะ คุณดูออกได้ยังไงว่าผมไม่ได้ทะเลาะกับแฟนจริง ๆ”
แลนดาไม่คิดปิดบังอีกต่อไป เขาพูดด้วยภาษาจีนอย่างคล่องแคล่ว “เวลาที่คนเราโกรธ ร่างกายจะสั่นโดยอัตโนมัติ แต่นายไม่มีอาการแบบนั้นเลย นั่นแสดงว่าภายในใจนายนั้นเยือกเย็น ไม่มีความรู้สึกตื่นตระหนก มันเป็นไปไม่ได้ที่คู่รักจะทะเลาะกันแล้วเป็นแบบนี้ ถ้าฉันเดาไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นคงไปแจ้งตำรวจแล้วล่ะสิ”
MANGA DISCUSSION