บทที่ 110 ฉันเป็นหมอ
จนถึงตอนนี้ คนส่วนใหญ่ยังคงมองว่ายามาซากิมีโอกาสชนะมากกว่า ท้ายที่สุดแล้ว น้ำหนักของทั้งคู่ก็ต่างกันมาก โอกาสชนะของเขายังคงสูงมาก ตราบใดที่เขาออกแรงผลักอีกนิด เหอเจ๋อที่อยู่ในใกล้ขอบย่อมต้านทานไม่ไหวอย่างแน่นอน
“แพ้ชนะรู้ผลแล้ว!” ซาคาตะมุมปากยกยิ้ม หัวเราะอย่างพอใจ
ในทางกลับกัน สีหน้าของจางเหวินฉีเต็มไปด้วยความกังวล เธอเลิกคิดเรื่องการถ่ายทอดสดไปแล้ว เริ่มคิดว่าจะออกจากประเทศนี้ได้อย่างไร
เหอเจ๋อก็ตระหนักได้เช่นกันว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตาย เมื่อคนเราอยู่ในสภาวะกดดันอย่างหนัก เซลล์สมองจะทำงานอย่างมาก มักจะทำให้เกิดภาพหลอนต่าง ๆ นานา
ทันใดนั้น ภาพในวัยเด็กก็ผุดขึ้นมาในหัว เขาตามแม่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร บังเอิญเจอกับดินโคลนถล่ม ตอนนั้นภาพท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมา เหมือนโลกกำลังจะแตกสลาย ทำให้เด็กน้อยอย่างเขาตกใจขาสั่นจนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่จะวิ่งหนีก็ยังลืม
และในเวลานั้น เฟิ่งเฟยเฟย แม่ของเขาก็ยืนขวางหน้าเขา ผู้หญิงที่ดูภายนอกบอบบางคนนี้ แต่ในขณะนั้นแผ่นหลังของเธอดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน
พลังแห่งธรรมชาติช่างยิ่งใหญ่และไม่อาจต้านทาน ก้อนหินขนาดมหึมาที่ตกลงมาจากยอดเขาลูกละสองถึงสามเท่าของขนาดล้อโม่ น้ำหนักกว่าหนึ่งตัน เฟิ่งเฟยเฟย ผู้หญิงที่บอบบางต่อหน้ามัน ช่างเล็กจ้อยจนไม่น่าดู
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป ทำให้เหอเจ๋อไม่มีวันลืม เฟิ่งเฟยเฟยกางแขนออก ย่อตัวลงนั่งบนพื้นบนเส้นทางภูเขาที่แคบ เริ่มต้นใช้ท่าทางกังฟู ก้อนหินที่กลิ้งลงมา เมื่อสัมผัสกับฝ่ามือของเธอ กลายเป็นกระดาษเสียอย่างนั้น เธอผลักมันออกไปข้าง ๆ อย่างง่ายดาย
“บางทีวิธีนี้อาจจะใช้ได้…”
ยามาซากิยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ดันออกไปตรง ๆ
ทุกศาสตร์การต่อสู้มักจะมีท่าไม้ตายที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น การใช้เข่าศอกของมวยไทย การล็อกคอของฟรีไฟต์ ส่วนท่าไม้ตายของซูโม่นั้นเรียบง่ายที่สุด เป็นท่าพื้นฐานที่สุด นั่นก็คือ การดัน!
ท่าง่าย ๆ นี้ เขาฝึกฝนมาตั้งแต่อายุหกขวบ เป็นเวลากว่าสามสิบปีจนเชี่ยวชาญถึงขีดสุด การดันครั้งนี้ ได้รวบรวมพลังทั้งหมดในร่างกายของเขาไว้ น่ากลัวอย่างที่สุด แม้แต่รถยนต์ก็ต้องถูกดันจนกระเด็น
การแพ้ชนะกำลังจะถูกตัดสินในขณะนี้ ทุกคนต่างกลั้นหายใจ จ้องมองไปที่เหอเจ๋อที่หลับตาลง ย่อตัวลงบนพื้น เท้าเหยียบไปข้างหน้าครึ่งก้าว แสดงท่าทางของศิลปะการต่อสู้
เมื่ออยู่ต่อหน้าภูเขามนุษย์ขนาดมหึมา การแสดงท่าทางแบบนี้ดูจะตลกและน่าขัน แต่ก่อนที่ผู้คนจะหัวเราะเยาะออกมา พวกเขาก็ชะงักค้าง กลายเป็นความตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อ
การดันที่ถูกกล่าวขานว่ามีพลังสองตันของยามาซากิกลับถูกเหอเจ๋อใช้แขนสองข้างรับไว้ได้!
ผู้ชมต่างก็งุนงงไปหมด ฉากนี้เกินกว่าความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว ร่างกายที่บอบบางเช่นนั้น จะรับน้ำหนักได้ถึงสองตันได้อย่างไร มีเพียงจางเหวินฉีเท่านั้น ที่มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
“วิชาสี่ตำลึงปาดพันชั่ง*[1]”
แม้ว่าวิชาการถ่ายเทแรงที่แปลกประหลาดของเหอเจ๋อจะไม่ได้อยู่ระดับสูงส่งแบบในตำนาน แต่พละกำลังของตัวเขาเองก็ไม่ได้มีเพียงสี่ตำลึง
ยามาซากิเบิกตากว้าง เขารู้สึกราวกับว่าแขนของเขากำลังดันก้อนสำลีอยู่ ไม่รู้สึกถึงแรงปะทะใด ๆ เลย
ความรู้สึกประหลาดนี้ทำให้เขาหงุดหงิดใจจนถึงขีดสุด เขาคำราม ก่อนจะพยายามยกแขนทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง แล้วผลักออกไปสุดกำลัง
แม้เหอเจ๋อจะสามารถต้านทานพลังส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลย แขนทั้งสองข้างของเขารู้สึกราวกับถูกมดกัดนับไม่ถ้วน ปวดระบมไปหมด
เขาไม่อยากลิ้มรสความรู้สึกแบบนี้อีก จึงฉวยโอกาสในขณะที่อีกฝ่ายกำลังรวบรวมพลัง เขากระโดดข้ามหัวอีกฝ่ายไป
การกระทำนี้เผยให้เห็นจุดอ่อนของยามาซากิ พลังอันมหาศาลของเขาไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ แม้จะเห็นว่าเหอเจ๋อวิ่งหนีไปแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดแรงของตัวเองได้ทัน ทำให้เซเสียหลักล้มไปข้างหน้า
โครม! โครม! โครม!
ร่างกายหนักกว่าห้าร้อยกิโลกรัมของเขากระแทกลงบนเวทีอย่างแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว โชคดีที่จุดที่เขายืนอยู่ห่างจากขอบเวทีไม่มากนัก เขาจึงคว้าเสาเวทีไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นเขาคงตกลงไปแพ้การแข่งขันไปแล้ว
ไม่มีใครคาดคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ ยามาซากิซึ่งเดิมทีได้เปรียบและมีแนวโน้มว่าจะชนะ กลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะตกรอบ
ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เหอเจ๋อไม่มีความคิดที่จะเล่นตามกฎกับหมูอ้วนตัวนี้ หลังจากที่ทรงตัวได้แล้ว เขาก็กระโดดกลับหลังหันแล้วเตะเข้าที่หลังของยามาซากิ คาซูกิ
“กลิ้งลงไปซะ!”
เหอเจ๋อเตะออกไปโดยไม่ลังเล แต่หลังจากที่เตะไปแล้ว เขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าชั้นไขมันของอีกฝ่ายนั้นเป็นเกราะป้องกันชั้นดีที่สุด เมื่อรวมกับน้ำหนักตัวที่มากอย่างน่าตกใจ การเตะของเขาจึงไม่มีผลอะไรเลย
เขาพยายามอีกหลายครั้งด้วยความไม่ยอมแพ้ แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม อีกฝ่ายอยู่ตรงขอบเวทีแท้ ๆ แต่ก็ไม่ยอมตกลงไปสักที
ยามาซากิแยกเขี้ยวออกมา ยิ้มอย่างดุร้าย ขณะที่ใช้แขนโอบรอบเสาเวทีไว้แน่น ก่อนจะค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นมา
เหอเจ๋อขมวดคิ้ว แม้ไม่อยากยอมรับ แต่บนเวทีแคบ ๆ แบบนี้ การต่อสู้แบบเผชิญหน้า เขาแทบไม่มีโอกาสชนะเลย หากพลาดโอกาสทองนี้ไป เขาอาจจะแพ้การแข่งขันนี้ก็ได้
ทันใดนั้น เขาก็นึกแผนการอันยอดเยี่ยมขึ้นมาได้
“ฮ่าฮ่า เห็นไหม ไอ้เด็กนั่นได้แค่จั๊กจี้ยามาซากิเอง แกแพ้แน่” ซากาตะกลับมามั่นใจอีกครั้งและพูดอย่างภาคภูมิใจ
จางเหวินฉีถอนหายใจ เธอคิดว่าตัวเองประมาทเกินไป ช่างหลงผิดคิดจะมอบหมายเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้กับชายหนุ่มอายุ 20 ปี ดูเหมือนว่าเธอคงต้องล้มเลิกแผนการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด และหาวิธีอื่นแทนแล้ว
ในบรรดาผู้ชมหลายร้อยคนในสนาม ไม่มีใครมองว่าเหอเจ๋อจะชนะ ทุกคนคิดไปในทางเดียวกันว่าเขาจะต้องแพ้ เพียงแต่เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
“ไร้ประโยชน์ แกก็เหมือนแมลงวันตัวหนึ่ง คอยแต่จะสร้างความรำคาญให้ฉัน ไม่สามารถทำร้ายฉันได้หรอก” ยามาซากิพูดเสียงดัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “รอเดี๋ยวฉันจะโยนแกทิ้งลงจากเวที เหมือนโยนหมาตาย”
“งั้นเหรอ? น่าเสียดายนะที่แกไม่มีโอกาสนั้นแล้วละ” เหอเจ๋อพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ตลกสิ้นดี จะเอาอะไรมาสู้กับฉัน ไอ้แรงเตะกระจอก ๆ งี้ ฝันไปเถอะ!” ยามาซากิสบถออกมาอย่างดูแคลน ผู้ชมด้านล่างต่างพากันหัวเราะเยาะเสียงดัง คำพูดถากถางโห่ร้องมาจากทุกทิศทาง
เหอเจ๋อยังคงสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ขอแนะนำตัวก่อน ฉันเป็นหมอ”
“แล้วไง หมอแล้วจะทำไม อยากจะหาข้ออ้างให้กับความล้มเหลวของตัวเองงั้นเหรอ” ยามาซากิพูดอย่างเหยียดหยัน
“ไม่ใช่ ฉันแค่อยากจะบอกนายว่า ไม่มีใครรู้จักร่างกายมนุษย์ได้ดีไปกว่าหมออีกแล้ว”
เหอเจ๋อไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา ก็พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง เหวี่ยงเท้าเตะออกไป แม้ดูเหมือนจะไร้ผลก็ตาม
[1] วิชาสี่ตำลึงปาดพันชั่ง (四两拨千斤) คือหลักอ่อนพิชิตแข็ง ใช้แรงน้อยกว่าเอาชนะแรงมากกว่า ปรากฏในนิยายกำลังภายใน เช่น โก้วเล้ง
MANGA DISCUSSION