บทที่ 105 ช่วยเหลือสำเร็จ
สองบอดี้การ์ดชุดดำวิ่งหน้าตื่นเข้ามา เห็นสภาพทั้งคู่อับอายขายหน้า ใบหน้าฟกช้ำดำเขียว ซากาตะโมโหจนหน้าเบี้ยว สีหน้าดำคล้ำเอ่ยว่า “พวกแกสองคนนี่มันไร้ประโยชน์จริง ๆ ทำฉันขายหน้า อธิบายมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
บอดี้การ์ดทั้งสองอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด ได้แต่แอบมองเหอเจ๋อ แต่ความหมายนั้นชัดเจนอยู่แล้ว
เหอเจ๋อเลิกคิ้ว ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเป็นคนซ้อมเอง พวกนายไม่พอใจหรือไง อยากลองขึ้นมาสู้กับฉันสักยกไหมล่ะ”
ซากาตะ ทาคาโยชิรู้สึกใจหายวาบ ฝีมือบอดี้การ์ดทั้งสอง เขาเคยเห็นมากับตา ปกติรับมือชายฉกรรจ์สี่ห้าคนยังไม่มีปัญหา พวกเขายังไม่ใช่คู่มือ ตัวเองขึ้นไปไม่เท่ากับไปตายหรอกเหรอ
เห็นว่าไอ้หมอนี่ไม่กล้าพูด เหอเจ๋อก็หมดสนุก หันไปพูดว่า “พี่เหวินฉี พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม ลุงเหอติดต่อพี่ไม่ได้ เลยให้ผมมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จางเหวินฉีไม่คิดเลยว่าเหอเจ๋อจะโผล่มาช่วยเธอราวกับเทวดา จนถึงตอนนี้ก็เพิ่งรู้สึกตัว
ดวงตากลมโตของเธอกลอกไปมา พูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก อาทิตย์ก่อนเกิดแผ่นดินไหวแล้วโดนของบาดนิดหน่อย เลยอยู่โรงพยาบาลสองสามวัน นายมาพอดีเลย กลับด้วยกันเถอะ”
เหอเจ๋อดูออกว่าเธอกำลังโกหก แต่มีคนนอกอยู่ เขาเลยไม่ได้ซักถามอะไรมาก พยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรต่อ
ซากาตะ ทาคาโยชิเห็นว่าจางเหวินฉีกำลังจะไป ก็พูดด้วยความไม่เต็มใจว่า “คุณหนูจาง ร่างกายของคุณยังต้องพักฟื้นอีกสักระยะ…”
จางเหวินฉีตัดบทเขาอย่างไม่ไยดี พูดอย่างเบื่อหน่ายว่า “ขอบคุณสำหรับความหวังดีของคุณชายซากาตะ ฉันรู้สึกดีแล้ว ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลต่อแล้ว”
ซากาตะโกรธจนหน้าแดงก่ำ ส่งสายตาให้บอดี้การ์ดทั้งสอง สั่งให้ขวางเธอไว้
เหอเจ๋อก้าวไปข้างหน้า มองพวกเขาด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ พูดอย่างแผ่วเบาว่า “ยังไง กำปั้นยังไม่อิ่มอีกเหรอ”
บอดี้การ์ดทั้งสองนึกถึงกำปั้นที่รัวราวกับสายฝนเมื่อครู่ เท้าเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว
ซากาตะโมโหจนแทบคลั่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองทั้งสามคนเดินออกไปอย่างผ่าเผย
หลังจากที่ทั้งสามคนจากไป เขาก็เตะเข้าที่ตัวบอดี้การ์ดที่ก้มหน้าอยู่ สาปแช่งเสียงดังว่า “พวกขยะ ไร้ประโยชน์! ฉันเสียเงินจ้างพวกแกทุกปี แล้วยังโดนเด็กหนุ่มชาวจีนคนเดียวซ้อมจนเป็นแบบนี้เนี่ยนะ ฉันจะร้องเรียนพวกแก เรียกร้องเงินคืน!”
บอดี้การ์ดทั้งสองเถียงไม่ออก ได้แต่โทษตัวเองที่โชคร้าย
หลังจากที่ซากาตะระบายอารมณ์ออกมาแล้ว ก็สงบสติอารมณ์ลง ยิ้มอย่างเย็นชา “จางเหวินฉี เธอหนีไม่พ้นหรอก รอวันที่เธอมาอ้อนวอนฉัน ค่อยมาคิดบัญชีกัน”
หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลไซเคียว สีหน้าของจางเหวินฉีก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เหอเจ๋อไม่ปิดบังความสงสัยในใจอีกต่อไป ถามขึ้นว่า “พี่เหวินฉี ในเมื่อพี่ไม่เป็นไร ทำไมไม่ติดต่อที่บ้าน ลุงเหอเป็นห่วงแทบแย่แล้ว”
จางเหวินฉี พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “คือว่า โรงพยาบาลบ้า ๆ นั่นบล็อกสัญญาณโทรศัพท์ ฉันเลยโทรออกไม่ได้”
เหอเจ๋ออ้าปากจะซักถามต่อ แต่เธอใช้สายตาห้ามไว้ เขาเลยได้แต่เปลี่ยนเรื่องคุย “ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เรากลับไปด้วยกันเถอะ”
ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่ญี่ปุ่นไม่นาน แต่เขาไม่ชอบที่นี่เอาเสียเลย
จางเหวินฉีเงียบไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าพลางหัวเราะอย่างขมขื่น “ไม่ได้ ฉันยังไปไม่ได้”
“ทำไมล่ะ” เหอเจ๋อถามอย่างไม่เข้าใจ
จางเหวินฉีถอนหายใจ ก่อนจะเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาญี่ปุ่นในครั้งนี้
แม้ว่าบริษัทภาพยนตร์เหอจะเป็นบริษัทเก่าแก่ที่แข็งแกร่ง แต่ด้วยการผงาดขึ้นของบริษัทใหม่ ๆ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา บวกกับการเติบโตของคนรุ่นใหม่ ทำให้กระแสหลักของรายการโทรทัศน์กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบ ๆ
ล้าหลังก็ต้องพ่ายแพ้ ตามกระแสไม่ทันก็ต้องถูกทิ้ง
นี่คือบทเรียนอันเจ็บปวดนับไม่ถ้วน บริษัทภาพยนตร์เหอไม่กล้าประมาท การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ ก็เพื่อช่วงชิงลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดรายการวาไรตี้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้อย่าง “Surprise Adventure”
“ตอนนี้บริษัทดูเหมือนจะสวยหรูดูดี แต่จริง ๆ แล้ว ส่วนแบ่งทางการตลาดลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นรายการนี้เราต้องได้มา มันเหมือนกับยาชูกำลังที่จะช่วยเพิ่มพลังใหม่ ๆ ให้กับทุกคนได้”
การที่จางเหวินฉีได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทภาพยนตร์เหอ ไม่ใช่เพราะเส้นสาย เธอมีความคิดเห็นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเกี่ยวกับตลาด เธอพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ตอนนี้เรายังไม่ได้ลิขสิทธิ์ ฉันไม่มีหน้ากลับไปเจอพ่อหรอก”
เมื่อเห็นท่าทางแน่วแน่ของเธอ เหอเจ๋อรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถต่อรองได้อีกแล้ว
“แต่ว่า…” จางเหวินฉีก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “ฉันหวังว่านายจะอยู่ปกป้องฉันสักพัก”
เหตุการณ์ที่ถูกกักตัวไว้ในโรงพยาบาลครั้งนี้ เป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัย หญิงสาวตัวคนเดียวต้องเจอกับความไม่สะดวกมากมาย
เหอเจ๋อไม่ลังเลที่จะตอบตกลงทันที จุดประสงค์ของการมาญี่ปุ่นครั้งนี้คือการพาจางเหวินฉีกลับไปอย่างปลอดภัย แน่นอนว่าเขาจะไม่ทิ้งเธอไว้คนเดียวอย่างแน่นอน
หลังจากคุยเรื่องงานเสร็จ จางเหวินฉีจึงหันไปสนใจจางเสี่ยวเถาที่เดินตามหลังมาด้วยความสงสัย “สาวสวยคนนี้คือ?”
จางเสี่ยวเถาที่ร่าเริงสุดจะทนกับการที่ไม่สามารถสอดแทรกอะไรได้เลย เธอจึงพูดขึ้นก่อนที่เหอเจ๋อจะได้แนะนำ “ฉันชื่อจางเสี่ยวเถาเป็นแอร์โฮสเตสค่ะ ฉันรู้จักกับเหอเจ๋อบนเครื่องบิน ได้ยินว่าเขากำลังตามหาพี่สาว แถมยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ ฉันเลยมาช่วย”
“ตามหาพี่สาว?”
จางเหวินฉียิ้มอย่างมีเลศนัย เมื่อรู้ว่าจางเสี่ยวเถาก็เป็นคนจีน เธอจึงไม่ปิดบังอีกต่อไป พูดตรง ๆ ว่า “คนพวกนี้หน้าไม่อายจริง ๆ เหนื่อยจะตายเวลาต้องติดต่อกับพวกเขา”
“ใช่ค่ะ ครั้งที่แล้วฉันเจอคนหนึ่งบนเครื่อง…” จางเสี่ยวเถาเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เธอเริ่มเล่าประสบการณ์ของตัวเอง
พวกเขาทั้งสามคนเดินเล่นคุยกันเรื่อยเปื่อยไปตามถนน ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ไฟถนนค่อย ๆ สว่างขึ้น
จางเหวินฉีคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี เธอจึงหาร้านอาหารหรูดูดีมีระดับได้ร้านหนึ่ง เพื่อเลี้ยงอาหารมื้อหรูเป็นการขอบคุณทั้งสองคนสำหรับการช่วยเหลือจากที่ไกลแสนไกล
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ จางเสี่ยวเถาก็ไม่ได้อยู่ต่อ จางเหวินฉีพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่อง ดังนั้นการที่เธอเป็นล่ามอยู่ต่อจึงไม่มีความหมายอะไรมาก เธอกล่าวลาแล้วกลับไปที่สนามบิน
หลังจากส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่แล้ว เหอเจ๋อก็ก้มมองดูโทรศัพท์ เป็นเวลาเลยสองทุ่มไปแล้ว เวลานี้คงทำธุระอะไรไม่ได้แล้ว คงต้องพักผ่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่พรุ่งนี้
ทั้งสองค้นหาร้านโรงแรมที่ดูสะอาดตาได้แห่งหนึ่ง เมื่อเข้าไปถาม ปรากฏว่าไม่มีห้องว่าง
ที่แท้ตอนนี้เป็นช่วงพีคของฤดูกาลท่องเที่ยว ห้องพักในไซเคียวจึงค่อนข้างตึง ต้องจองล่วงหน้าประมาณสองถึงสามวันถึงจะได้
ทั้งคู่ไม่ละความพยายาม จึงไปถามอีกสี่ห้าโรงแรม แต่คำตอบที่ได้กลับกลายเป็นว่าไม่มีห้องว่างทั้งหมด
พอเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้วแต่ยังหาที่พักไม่ได้ ทั้งคู่จึงเริ่มใจร้อน
MANGA DISCUSSION